ลงโฆษณาฟรี ลงประกาศฟรี ขายของมือสอง ร้านค้าออนไลน์ ecommerce หางาน สมัครงาน PantipMarket.com


ดูข่าวทั้งหมด
ค้นหาแบบละเอียด

หมายเลขประกาศ21920530

รู้จัก Specific Learning Disorder (SLD) ตามเกณฑ์ DSM-5

รู้จัก Specific Learning Disorder (SLD)
ตามเกณฑ์ DSM-5
รู้จัก Specific Learning Disorder (SLD) ตามเกณฑ์ DSM-5
พร้อมแนวทางกระตุ้นพัฒนาการเด็กก่อนวินิจฉัย เพื่อช่วยให้เรียนรู้ได้เต็มศักยภาพ

Specific Learning Disorder (SLD) คืออะไร?
Specific Learning Disorder (SLD) หรือ “ความบกพร่องทางการเรียนรู้เฉพาะด้าน”
ตามเกณฑ์ DSM-5 (Diagnostic and Statistical Manual of Mental Disorders, ฉบับที่ 5)
หมายถึง ภาวะที่เด็กมีปัญหาในการเรียนรู้เฉพาะด้าน แม้มีสติปัญญาปกติหรือสูงก็ตาม

ซึ่ง SLD แบ่งออกเป็น 3 ประเภทหลัก ได้แก่ ?

Dyslexia — ปัญหาด้านการอ่าน เช่น อ่านช้า อ่านผิด หรืออ่านไม่เข้าใจ

Dysgraphia — ปัญหาด้านการเขียน เช่น เขียนตัวอักษรผิด เขียนช้า หรือจัดวางคำไม่เป็นระเบียบ

Dyscalculia — ปัญหาด้านคณิตศาสตร์ เช่น คิดเลขไม่ได้ จำสูตรไม่ได้ หรือเข้าใจจำนวนยาก

เด็กที่มี SLD ไม่ได้ขาดความฉลาด แต่มีความยากลำบากเฉพาะด้าน
ซึ่งไม่เกี่ยวข้องกับความบกพร่องทางสติปัญญา การมองเห็น การได้ยิน หรือสภาพแวดล้อมด้อยโอกาส

ตามเกณฑ์ DSM-5:
ก่อนวินิจฉัย SLD ต้องมี “การช่วยเหลือทางการเรียนรู้อย่างเป็นระบบ” อย่างน้อย 6 เดือน
เพื่อให้แน่ใจว่าปัญหาการเรียนรู้ไม่ได้เกิดจากปัจจัยภายนอก เช่น การขาดโอกาสทางการศึกษา

สาเหตุของ Specific Learning Disorder
แม้ยังไม่สามารถระบุสาเหตุที่แน่ชัดของ SLD ได้
แต่งานวิจัยพบว่ามีปัจจัยหลักที่เกี่ยวข้องดังนี้

1. ปัจจัยทางพันธุกรรมและชีวภาพ
เด็กที่มีสมาชิกในครอบครัวมี SLD มักมีโอกาสสูงขึ้น

พบความแตกต่างในโครงสร้างสมองส่วนที่เกี่ยวข้องกับ “การอ่าน การเขียน และคณิตศาสตร์”

2. สภาพแวดล้อมและประสบการณ์การเรียนรู้
การไม่ได้รับการกระตุ้นการเรียนรู้ที่เหมาะสมในวัยเด็ก

ขาดการฝึกฝนด้านภาษา ตัวอักษร หรือทักษะคำนวณอย่างต่อเนื่อง

3. ปัจจัยเสี่ยงอื่น ๆ
การคลอดก่อนกำหนด หรือมีน้ำหนักแรกเกิดต่ำ

การติดเชื้อ หรือโรคที่กระทบพัฒนาการสมองในวัยทารก

✅ แนวทางช่วยเหลือเด็กก่อนวินิจฉัย SLD (ตามเกณฑ์ DSM-5)
DSM-5 กำหนดให้มีการ ช่วยเหลือและกระตุ้นพัฒนาการเป็นเวลาอย่างน้อย 6 เดือน
ก่อนจะวินิจฉัยว่าเด็กมี SLD อย่างเป็นทางการ
ดังนั้น หากพบว่าเด็กมีแนวโน้ม “เรียนรู้ช้ากว่าปกติ” ควรเริ่มกระตุ้นทันที ?

1. การประเมินและติดตามพัฒนาการอย่างใกล้ชิด
สังเกตพฤติกรรมการเรียนรู้ในชีวิตประจำวัน

ใช้แบบประเมินมาตรฐาน เช่น แบบทดสอบการอ่าน เขียน และคณิตศาสตร์

บันทึกความก้าวหน้าเพื่อติดตามการเปลี่ยนแปลงของเด็ก

2. การฝึกกระตุ้นทักษะเฉพาะด้าน
กรณีมีปัญหาด้านการอ่าน (Dyslexia)

ฝึกสะกดคำ อ่านออกเสียง เชื่อมโยงเสียงกับตัวอักษร

กรณีมีปัญหาด้านการเขียน (Dysgraphia)

ฝึกกล้ามเนื้อมัดเล็ก ควบคุมดินสอ และเรียบเรียงประโยคอย่างต่อเนื่อง

กรณีมีปัญหาด้านคณิตศาสตร์ (Dyscalculia)

ฝึกคำนวณพื้นฐาน การจดจำตัวเลข และการแก้โจทย์ด้วยของจริง

3. การสอนแบบมีโครงสร้างชัดเจน (Structured Instruction)
สอนแบบ Step-by-Step เพื่อไม่ให้เด็กสับสน

เน้น การฝึกซ้ำ (Repetition) และ การเสริมแรงบวก (Positive Reinforcement)

ใช้ภาพ เสียง หรือสื่อหลากหลายเพื่อกระตุ้นการเรียนรู้

4. การปรับสภาพแวดล้อมการเรียนรู้
จัดพื้นที่เรียนให้สงบ ไม่มีสิ่งรบกวน

ใช้ ฟอนต์เฉพาะสำหรับ Dyslexia

ลดการบ้านหรือเวลาสอบในบางกรณีเพื่อไม่ให้เกิดความเครียด

5. การร่วมมือระหว่างบ้านและโรงเรียน
วางแผน การเรียนรู้เฉพาะบุคคล (IEP: Individualized Education Program)

ครูและผู้ปกครองควรสื่อสารกันสม่ำเสมอ

ติดตามพัฒนาการอย่างต่อเนื่อง และปรับแนวทางให้เหมาะสมกับเด็กแต่ละคน

สรุป
✅ เด็กที่มีแนวโน้ม Specific Learning Disorder (SLD) ควรได้รับการสังเกตและกระตุ้นตั้งแต่เนิ่น ๆ
เพื่อให้สามารถพัฒนาได้เต็มศักยภาพ

✅ การช่วยเหลือเชิงรุกตามแนวทางของ DSM-5
ช่วยให้แยกแยะได้ว่าเด็กมี “ปัญหาการเรียนรู้แท้จริง” หรือเกิดจาก “สภาพแวดล้อมภายนอก”

✅ การทำงานร่วมกันระหว่าง บ้าน – โรงเรียน – ผู้เชี่ยวชาญ
คือหัวใจสำคัญในการช่วยให้เด็กเรียนรู้ได้อย่างมั่นใจและมีความสุข

แหล่งอ้างอิง
American Psychiatric Association. (2013). Diagnostic and Statistical Manual of Mental Disorders (5th ed.) (DSM-5).

Fletcher, J. M., Lyon, G. R., Fuchs, L. S., & Barnes, M. A. (2018). Learning Disabilities: From Identification to Intervention (2nd ed.). Guilford Publications.

Pennington, B. F., McGrath, L. M., & Peterson, R. L. (2019). Diagnosing Learning Disorders: From Science to Practice (3rd ed.). Guilford Press.

ประกาศอื่นของผู้ขาย

รูปภาพรายละเอียดราคา