จำหน่าย,ขาย,เหล็กรางน้ำ,เหล็กฉาก,เหล็กเพลาขาว,เพลาเจียร,เหล็กเพลาขาว,
เหล็กเพลาหัวแดง,เหล็ก SCM440,SK5,S50C,S45C,SKD11,SKD61,SNCM439,P20,SKS3,
เหล็กแผ่นดำ SS400,เหล็ก SS400,เหล็กแผ่นขาว,H Beam,เหล็กเพลาหัวสีฟ้า SCM440,ขายเหล็กแผ่นดำ,แผ่นเหล็กแข็งS50C,S45C, จำหน่ายแผ่นเหล็กดำ,เหล็กม้วนดำ, เหล็กแผ่นดำ SS400, เหล็กม้วนดำ, เหล็กแผ่นลาย,เหล็กแผ่นลายกันลื่น, เหล็กราง, เหล็กฉาก, เหล็กแบน, เหล็กตัว C, เหล็ก H-บีม,เหล็ก H beam, H บีม,เหล็กเอช บีม,ไวด์แฟรงค์,ไอบีม,ท่อดำ,ท่อเหลี่ยม, ท่อแบน, เหล็กเส้น, ข้ออ้อย, เพลาขาว,เหล็กตัดแก๊ส,เหล็กตัดตามแบบ,เหล็กตัดตามขนาด,เหล็กตัดแบ่งขาย,ขายเหล็กตัดแก๊ส,เหล็ก SKD11,SKD61,SNCM439, เหล็กเพลาดำ‚ เพลาขาว‚ เหล็ก SS400,S45C, S20C S20C‚ S45C‚
นำเข้า,เหล็กสี่เหลี่ยมตัน‚ เพลา SCM415‚ คอยส์‚ เพลา SCM440‚ COIL‚ เพลาหกเหลี่ยม‚ เพลาขาวขัดผิว‚เหล็กสี่เหลี่ยม S50C,S45C,เหล็กหกเหลี่ยม S45C,เหล็กเพลากลม S45C ผิวขาว,เหล็กเส้นแบน S50C,S45C,SS400,เหล็กเส้นแบนสีฟ้า SCM440,SMC4,เหล็กทนสึก EH400,ใต้หวัน,เกาหลี,ญี่ปุ่น,รัสเซีย
ขาย,เหล็กรางรถไฟ‚ เหล็กแบบขัด,เหล็กแผ่นลาย,เหล็กแผ่นลายตีนไก่,เหล็กแผ่นลายตีนเป็ด,เหล็กรางน้ำ,เหล็กฉาก,เหล็กแบน,เหล็กตัว C,เหล็ก H-บีม, ไวด์แฟรงค์,ไอบีม, เหล็กหัวแดง,เหล็กหัวฟ้า,ท่อดำ,ขายท่อดำ,ท่อสตรีมดำ,เหล็กแผ่นลาย,เหล็กลายตีนเป็ด,เหล็กลายตีนไก่,เหล็กรางน้ำ,เหล็กฉาก,เหล็กเพลาขาว,เพลาเจียร,เหล็กเพลาขาว,เหล็กเพลาหัวแดง,เพลาหัวฟ้า,เ้หล็กแผ่น SCM440, SCM4,S50C,เหล็กข้ออ้อย,เหล็ก H บีม,ไอบีม,เหล็กกล่อง,ท่อกลม,ท่อเหลี่ยม,เหล็กเส้นฉาก,ท่อดำ,เหล็กแผ่นลาย,เหล็กเส้นแบน,เหล็กม้วนดำ, เหล็กแผ่นลาย,เหล็กแผ่นลายกันลื่น,เหล็กราง,เหล็กฉาก,เหล็กแบน,เหล็กตัวซี,ท่อ API,
•เหล็กแผ่น Steel Sheets and Plates
•เหล็กรูปตัวซี Lip Channel Steel
•เหล็กรูปรางน้ำ Light Channel Steel
•เหล็กฉาก Angle Steel
•เหล็กรูปตัว Z Light Z Steel
•เหล็กรูปตัว Z มีขอบ Lip Z Steel
•ท่อเหล็กกล้าและท่อเหล็กกล้าชุบสังกะสี Steel Pipes and Galvanized Steel Pipes
•เหล็กโครงสร้างรูปพรรณกลวง Hallow Structural Steel Sections
•ท่อเหล็กกล้าและท่อเหล็กกล้าชุบสังกะสี Black and Galvanized Steel Pipes
•ท่อเหล็กกล้า Steel Pipes
•ท่อเหล็กกล้ากลมและสี่เหลี่ยม Steel Tube in Round and Shapes
•ท่อเหล็กกล้าสำหรับงานโครงสร้างทั่วไป Carbon Steel Tubes for General Structure Purpose
•ท่อเหล็กกล้าสำหรับงานโครงสร้างเครื่องจักร Carbon Steel Tubes for Machine Structure Purpose
•เหล็กฉากรีดร้อน Hot Rolled Steel Angles
•เหล็กรางน้ำรีดร้อน Hot Rolled Steel Channels
•H-Beam
•I-Beam
•เหล็กเส้นขนาน Flat Bar
•เหล็กกลมและเหล็กเส้นข้ออ้อย Round and Deformed Bars
- คอยล์ สลิด คอยล์
คุณสมบัติเหล็ก
(เหล็กเกรด เหล็ก S50C,เหล็ก S45C,เหล็ก SNCM439,เหล็ก SCM 439,เหล็ก SKD11,เหล็ก SCM 440,SKD61,เหล็ก AUD11,เหล็ก SS400,เหล็กเกรด S45C,S50C,SS400,SNCM439,SNCM 439,SCM439,SCM 439,เหล็ก SKD11,SKD61,เหล็ก SK5)
เมื่อทำการเลือกวัสดุไปใช้ในงานที่จำเพาะเจาะจงแล้ว วิศวกรต้องมีความมั่นใจในความเหมาะสมของ สภาวะการรับแรง และความทนต่อสภาพแวดล้อมต่างๆ และนี่คือหัวข้อที่อยู่ในการบริการของเรา ความเข้าใจ และการควบคุมคุณสมบัติของวัสดุให้ได้นั้นเป็นสิ่งจำเป็น คุณสมบัติทางกลของเหล็กสามารถทำการควบคุมได้โดยอาศัยการเลือกส่วนประกอบทางเคมีที่เหมาะสม, กระบวนการ และกระบวนการอบร้อน หรือจนถึงการตรวจสอบโครงสร้างระดับจุลภาค
ออัลลอยด์ และกระบวนการอบร้อนถูกใช้ในการผลิตเหล็ก ผลที่ได้นั้นจะมีความแตกต่างกันทั้งค่าคุณสมบัติ และความแข็งแกร่ง ส่วนในการทดสอบนั้นต้องดำเนินการทดสอบไปจนถึงคุณสมบัติสุดท้ายของเหล็ก เพื่อให้มั่นใจได้ว่า เป็นมาตรฐานที่น่าเชื่อถือ
มีระบบการวัดอยู่หลายรูปแบบที่ใช้ในการระบุคุณสมบัติของเหล็ก ตัวอย่างเช่น จุดคราก, ความอ่อน และความแข็งตึง สามาหาหาได้โดยใช้การทดสอบแรงดึง ความเหนียวสามารถวัดค่าได้โดยใช้การทดสอบอิมแพ็ค ส่วนค่าความแข็ง สามารถหาได้โดยวัดจากความต้านทานในการเจาะพื้นผิวของวัสดุแข็ง
การทดสอบแรงดึง เป็นวิธีการในการประเมินผลตอบสนองของโครงสร้างของเหล็ก เมื่อได้รับโหลด ซึ่งผลลัพธ์จะแสดงในค่าความสัมพันธ์ระหว่าง ความเค้น และความเครียด โดยที่ค่าความสัมพันธ์ระหว่าง ความเค้น และความเครียด สามารถวัดได้จากช่วงยืดหยุ่นของวัสดุ และอัตราส่วนโมดูลัสของยัง ค่าโมดูลัสของยังที่สูงนั้น จะแสดงถึงความแตกต่างของคุณสมบัติเหล็ก ซึ่งจะอยู่ในช่วง 190-210 GPa และมีค่าเป็นสามเท่าของอลูมิเนียม
คุณสมบัติทางกายภาพของเหล็กจะมีความเกี่ยวพันธ์กับลักษณะทางกายภาพของวัสดุ เช่น ความหนาแน่น, สภาพการนำความร้อน, โมดูลัสของสภาพยืดหยุ่น, อัตราส่วนของปัวซอง, อื่นๆ ค่าโดยทั่วไปขอคุณสมบัติทางกายภาพของเหล็กได้แก่:
ความหนาแน่น ρ = 7.7 ÷ 8.1 [kg/dm3]
โมดูลัสของสภาพยืดหยุ่น E=190÷210 [GPa]
อัตราส่วนของปัวซอง ν = 0.27 ÷ 0.30
สภาพการนำความร้อน κ = 11.2 ÷ 48.3 [W/mK]
สัมประสิทธิ์การขยายตัวเนื่องจากความร้อนα = 9 ÷27 [10-6 / K]
"เหล็กแผ่น" กับ "เหล็กเส้น"
เหล็กแผ่น มีความแตกต่างจาก เหล็กเส้น อย่างสิ้นเชิงในหลายๆ แง่ ดังต่อไปนี้
เหล็กเส้น เกือบ 100% ใช้ในการก่อสร้างเป็นหลัก แต่เหล็กแผ่นสามารถนำไปใช้งานหลากหลายกว่ามาก ได้แก่ การก่อสร้าง งานโครงสร้างต่างๆ อุตสาหกรรมการผลิต รถยนต์ จักรยานยนต์ เรือ ยานพานะ บรรจุภัณฑ์ งานชลประทาน ระบบโครงสร้างสาธารณูปโภคต่างๆ ป้ายสัญญาณ เฟอร์นิเจอร์ เป็นต้น
การผลิตเหล็กเส้นต้องใช้เครื่องจักรต่างชนิดจากการผลิตเหล็กแผ่น ดังนั้นโรงงานหนึ่งๆ มักผลิตเหล็กเส้นหรือเหล็กแผ่นอย่างใดอย่างหนึ่ง ถ้าหากผลิตทั้งสองอย่าง จะต้องลงทุนเครื่องจักร 2 ทั้งชนิด (สายการผลิต 2 สาย) เป็นมูลค่ามหาศาล
การผลิตเหล็กแผ่นจำเป็นต้องใช้วัตถุดิบที่มีคุณภาพสูงกว่าการผลิตเหล็กเส้นเนื่องจากระดับคุณภาพโดยทั่วไปที่สูงกว่า ต้องการความบริสุทธ์ของเนื้อเหล็กกล้าและผิวเหล็กแผ่นที่ดีและสะอาดกว่า ตามวัตถุประสงค์ในการใช้งานที่ต่างกัน
เหล็กแผ่นรีดร้อน
เหล็กแผ่นรีดร้อน คือเหล็กกล้าที่มีรูปทรงเป็นแผ่น (ลักษณะแบน) ผลิตด้วยกรรมวิธีรีดร้อน (ด้วยลูกกลิ้งหรือแท่นรีดขนาดใหญ่) ซึ่งทำให้แท่งเหล็กกึ่งสำเร็จรูปที่เรียกว่า "สแลบ (slab)" มีขนาดความหนาลดลงจาก 100 มิลลิเมตร เป็นแผ่นที่มีความหนาบางลงอยู่ในช่วง 1.00 ถึง 13.00 มิลลิเมตร ตามที่ลูกค้าต้องการ เหล็กแผ่นรีดร้อน เมื่อผลิตเสร็จแล้วจะอยู่ในลักษณะเป็นม้วน (coil) เรียกว่า "เหล็กแผ่นรีดร้อนชนิดม้วน (hot-rolled coil)" หรือ "เหล็กม้วนดำ (black coil)" เพื่อประสิทธิภาพในการเก็บรักษา เคลื่อนย้ายและขนส่ง อย่างไรก็ดี เมื่อลูกค้าต้องการสินค้าเป็นเหล็กแผ่นรีดร้อนชนิดแผ่น โรงงานจะทำการตัดแบ่งเหล็กม้วนเป็นแผ่นตามขนาดความยาวและความกว้างที่ลูกค้าต้องการได้อีกด้วย
การนำไปใช้งาน
เหล็กแผ่นรีดร้อนสามารถนำไปใช้งานได้หลากหลายมาก โดยการใช้งานหลักๆ (มากกว่า 80%) มีดังนี้
รีดเย็นต่อ - กลายเป็นเหล็กแผ่นรีดเย็น สำหรับแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ต่อเนื่องมากมาย
กัดล้างผิวและเคลือบน้ำมัน - กลายเป็นเหล็กแผ่นรีดร้อนชนิดกัดล้างผิวและเคลือบน้ำมัน (pickled and oiled hot-rolled steel) สำหรับแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ต่อเนื่องมากมาย
แปรรูป - เป็นเหล็กโครงสร้างรูปพรรณ ลักษณะต่างๆ เช่น ฉาก (รูป L) ท่อ (ทรงกระบอก) รางน้ำ (U) ตัวซี (C) เป็นต้น สำหรับใช้ในการก่อสร้าง งานวิศวกรรมโยธา และงานโครงสร้าง
ตัดแผ่น - ขายปลีก สำหรับใช้ในงานอุตสาหกรรม งานก่อสร้าง หรืองานช่างทั่วไป
ผลิตถังก๊าซ ถังคอมเพรสเซอร์ (ระบบทำความเย็น) ถังแรงดัน
ผลิตท่อก๊าซ ท่อน้ำมันและปิโตรเคมี
ฯลฯ
เหล็กแผ่นรีดร้อนชนิดม้วนเป็นผลิตภัณฑ์ต้นทางหรือต้นน้ำที่ถูกนำมาใช้ผ่านกรรมวิธีต่อเนื่องได้อีกมาก เป็นการเพิ่มมูลค่าให้แก่ตัวผลิตภัณฑ์ เพิ่มโอกาสในทางการตลาด การค้า และเพิ่มอัตรากำไรให้สูงขึ้นอีกด้วย
เหล็กแผ่นรีดร้อนชนิดแผ่น (hot-rolled sheet)
เหล็กแผ่นรีดร้อนชนิดแถบ (hot-rolled strip)
เหล็กแผ่นรีดร้อนปรับสภาพผิว (skinpassed HRC)
เหล็กแผ่นรีดร้อนชนิดกัดล้างผิวและเคลือบน้ำมัน (pickled and oiled HRC)
เหล็กแผ่นรีดร้อนชุบสังกะสี (galvanized hot-rolled coil/sheet)
เหล็กแผ่นรีดเย็นชนิดม้วน (cold-rolled coil)
เหล็กแผ่นรีดเย็นชนิดแผ่น (cold-rolled sheet)
เหล็กแผ่นรีดเย็นชนิดแถบ (cold-rolled strip)
เหล็กแผ่นรีดเย็นเคลือบสังกะสี (galvanized cold-rolled coil/sheet)
เหล็กแผ่นรีดเย็นเคลือบดีบุกหรือโครเมี่ยม (tin plate, tin-free)
เหล็กแผ่นรีดเย็นเคลือบสี (prepainted cold-rolled coil/sheet)
มาตรฐานเหล็กอุตสาหกรรม
เนื่องจากบริษัทผู้ผลิตเหล็กได้ทำการผลิตเหล็กชนิดต่าง ๆ ออกสู่ท้องตลาดเป็นจำนวนมาก แต่ละบริษัทพยายามที่จะผลิตเหล็กให้มีคุณภาพต่าง ๆ กันตามประเภทของการใช้งาน ดังนั้นจึงเป็นความยากลำบาทของผู้ใช้ที่จะเลือกใช้เหล็กให้ตรงกับความต้องการของตน จึงได้มีการกำหนดชนิดและปริมาณส่วนผสมไปในเนื้อเหล็ก โดยใช้สัญลักษณ์ของธาตุและตัวเลขเป็นตัวชี้บอกจำนวนปริมาณของส่วนผสมที่มีอยู่ จึงได้เกิดเป็น " มาตรฐานเหล็กอุตสาหกรรม " ขึ้น
มาตรฐานเหล็กอุตสาหกรรมได้กำเนิดมาหลายมาตรฐาน เนื่องจากประเทศบริวารในเครือของตนเองหรือประเทศที่มีการจัดการอุตสาหกรรมแบบเดียวกันยอมรับและนำไปใช้ ซึ่งปรากฎว่า ในปัจจุบันมีมาตรฐานเหล็กอุตสาหกรรมที่นิยมนำมาใช้งานกัน มี 3 มาตรฐาน คือ
- ระบบอเมริกัน AISI (American Iron and Steel Institute)
การกำหนดมาตรฐานแบบนี้ ตัวเลขดัชนีจะมีจำนวนหลักและตัวชี้บอกส่วนประสมจะเหมือนกับระบบ SAE จะต่างกันตรงที่ระบบ AISI จะมีตัวอักษรนำหน้าตัวเลข ซึ่งตัวอักษรนี้จะ บอกถึงกรรมวิธีการผลิตเหล็กว่าได้ผลิตมาจากเตาชนิดใด
ตัวอักษรที่บอกกรรมวิธีการผลิตเหล็กจะมีดังนี้
A คือ เหล็กประสมที่ผลิตจากเตาเบสเซมเมอร์ (Bessemer) ชนิดที่เป็นด่าง
B คือ เหล็กประสมที่ผลิตจากเตาเบสเซมเมอร์ (Bessemer) ชนิดที่เป็นกรด
C คือ เหล็กที่ผลิตจากเตาโอเพ็นฮารท์ (Open Hearth) ชนิดที่เป็นด่าง
D คือ เหล็กที่ผลิตจากเตาโอเพ็นฮารท์ (Open Hearth) ชนิดที่เป็นกรด
E คือ เหล็กที่ผลิตจากเตาไฟฟ้า
การแบ่งชนิดของเหล็กกล้าตามชนิดและปริมาณของสารที่นำมาผสม แต่เหล็กกล้าตามระบบ AISI ยังมีการแบ่งกลุ่มตามลักษณะของกรรมวิธีการชุบแข็ง
ชื่อกลุ่ม = สัญลักษณ์
กลุ่มที่ชุบแข็งด้วยน้ำ W
กลุ่มเหล็กที่ทนต่อแรงกระแทก S
กลุ่มที่ชุบแข็งด้วยน้ำมัน O
กลุ่มที่ผลิตโดยกรรมวิธีแปรรูปเย็น (Cold Working) สำหรับเหล็กล้า
คาร์บอนปานกลางและชุบแข็งโดยปล่อยให้เย็นตัวในอากาศ A
กลุ่มเหล็กกล้าที่ผลิตโดยกรรมวิธีแปรรูปเย็นสำหรับเหล็กกล้า
คาร์บอนสูงและเหล็กกล้าประสมโครเมียมสูง D
กลุ่มเหล็กที่ผลิตโดยกรรมวิธีแปรรูปร้อน (Hot Working) H
กลุ่มเหล็กกล้ารอบสูง(High Speed Steel) T (ประสมทังสเตนเป็นหลัก)
กลุ่มเหล็กกล้ารอบสูง(High Speed Steel) M (ประสมโมลิบดินั่ม)
กลุ่มเหล็กกล้าคุณสมบัตพิเศษ (มีคาร์บอนและทังสเตน เป็นหลัก)
กลุ่มเหล็กทำแม่พิมพ์
2.ระบบเยอรมัน DIN (Deutsch Institute Norms)
การจำแนกประเภทของเหล็กตามมาตรฐานเยอรมันจะแบ่งเหล็กออกเป็น 4 ประเภทดังนี้
2.1 เหล็กกล้าคาร์บอน(หรือเหล็กไม่ประสม)
2.2 เหล็กกล้าผสมต่ำ
2.3 เหล็กกล้าผสมสูง
2.4 เหล็กหล่อ
2.5 เหล็กกล้าคาร์บอน (หรือเหล็กไม่ประสม)
เหล็กที่นำไปใช้งานได้เลยโดยไม่ต้องผ่านกรรมวิธีปรับปรุงคุณสมบัติโดยใช้ความร้อน (Heat Treatment) เหล็กพวกนี้จะบอกย่อคำหน้าว่า St.และจะมีตัวเลขตามหลัง ซึ่งจะบอกถึงความสามารถที่จะทนแรงดึงสูงสุดของเหล็กชนิดนั้น มีหน่วยเป็น ก.ก/มม.2
หมายเหตุ การกำหนดมาตรฐานทั้งสองนี้ เหล็กที่มีความเค้นแรงดึงสูงสุดประมาณ 37 ก.ก/มม.2 จะสามารถใช้สัญลักษณ์แทนเหล็กชนิดนี้ได้ 2 ลักษณะ คือ เขียนเป็น St. หรือ C20
การกำหนดมาตรฐานเหล่านี้จะเห็นมากในแบบสั่งงาน ชิ้นส่วนบางชนิดต้องนำไปชุบแข็งก่อนใช้งาน ก็จะกำหนดวัสดุเป็น C นำหน้า ส่วนชิ้นงานที่ไม่ต้องนำไปชุบแข็ง ซึ่งนำไปใช้งานได้เลยจะกำหนดวัสดุเป็นตัว St. นำหน้า ทั้ง ๆ ที่วัสดุงานทั้งสองชิ้นนี้ใช้วัสดุอย่างเดียวกันเหล็กกล้าผสมต่ำ การกำหนดมาตรฐานเหล็กประเภทนี้จะบอกจำนวนคาร์บอนไว้ข้างหน้าเสมอ แต่ไม่นิยมเขียนตัว C กำกับไว้ ตัวถัดมาจะเป็นชนิดของโลหะที่เข้าไปประสม ซึ่งอาจมีชนิดเดียวหรือหลายชนิดก็ได้
ข้อสังเกต เหล็กกล้าประสมต่ำตัวเลขที่บอกปริมาณของโลหะประสมจะไม่ใช่จำนวนเปอร์เซ็นต์ที่แท้จริงของโลหะประสมนั้นการที่จะทราบจำนวนเปอร์เซ็นต์ที่แท้จริงจะต้องเอาแฟกเตอร์ (Factor) ของโลหะประสม แต่ละชนิดไปหาร ซึ่งค่าแฟกเตอร์ (Factor) ของโลหะประสมต่าง ๆ มีดังนี้
หารด้วย 4 ได้แก่ Co, Cr, Mn, Ni, Si, W
หารด้วย 10 ได้แก่ Al, Cu, Mo, Pb, Ti, V
หารด้วย 100 ได้แก่ C, N, P, S
ไม่ต้องหาร ได้แก่ Zn, Sn, Mg, Fe
การใช้สัญลักษณ์ดังตัวอย่างที่แล้ว เป็นการบอกส่วนผสมในทางเคมี แต่ในบางครั้งจะมีการเขียนสัญลักษณ์บอกกรรมวิธีการผลิตไว้ข้างหน้าอีกด้วย เช่น
B = ผลิตจากเตาเบสเซมเมอร์
E = ผลิตจากเตาไฟฟ้าทั่วไป
F = ผลิตจากเตาน้ำมัน
I = ผลิตจากเตาไฟฟ้าชนิดเตาเหนี่ยวนำ (Induction Furnace)
LE = ผลิตจากเตาไฟฟ้าชนิดอาร์ค (Electric Arc Furnace)
M = ผลิตจากเตาซีเมนต์มาร์ติน หรือ เตาพุดเดิล
T = ผลิตจากเตาโทมัส
TI = ผลิตโดยกรรมวิธี (Crucible Cast Steel)
W = เผาด้วยอากาศบริสุทธิ์
U = เหล็กที่ไม่ได้ผ่านการกำจัดออกซิเจน (Unkilled Steel)
R = เหล็กที่ผ่านการกำจัดออกซิเจน (Killed Steel)
RR = เหล็กที่ผ่านการกำจัดออกซิเจน 2 ครั้ง
นอกจากนี้ยังมี สัญลักษณ์แสดงคุณสมบัติพิเศษของเหล็กนั้นอีกด้วย เช่น
A = ทนต่อการกัดกร่อน
Q = ตีขึ้นรูปง่าย
X = ประสมสูง
Z = รีดได้ง่าย
เหล็กกล้าผสมสูง (High Alloy Steel) เหล็กกล้าประสมสูง หมายถึงเหล็กกล้าที่มีวัสดุผสมอยู่ในเนื้อเหล็กเกินกว่า 8 % การเขียนสัญลักษณ์ของเหล็กประเภทนี้ เขียนนำหน้าด้วยต้ว X ก่อน แล้วตามด้วยจำนวนส่วนผสมของคาร์บอนจากนั้นด้วยชนิดของโลหะประสม ซึ่งจะมีชนิดเดียวหรือชนิดก็ได้ แล้วจึงตามด้วยตัวเลขแสดงปริมาณของโลหะประสม
ตัวเลขที่แสดงปริมาณของโลหะประสม ไม่ต้องหารด้วย แฟกเตอร์ (Factor) ใด ๆ ทั้งสิ้น(แตกต่างจากโลหะประสมต่ำ) ส่วนคาร์บอนยังต้องหารด้วย 100 เสมอ
3.ระบบญี่ปุ่น JIS (Japaness Industrial Standards)
การจำแนกประเภทของเหล็กตามมาตรฐานญี่ปุ่น ซึ่งจัดวางระบบโดยสำนักงานมาตรฐานอุตสาหกรรมญี่ปุ่น(Japaness Industrial Standards, JIS) จะแบ่งเหล็กตามลักษณะงานที่ใช้
ตัวอักษรชุดแรก จะมีคำว่า JIS หมายถึง Japaness Industrial Standards ตัวอักษรสัญลักษณ์ตัวถัดมาจะมีได้หลายตัว แต่ละตัวหมายถึงการจัดกลุ่มผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมต่างๆ เช่น
A งานวิศวกรรมก่อสร้างและงานสถาปัตย์
B งานวิศวกรรมเครื่องกล
C งานวิศวกรรมไฟฟ้า
D งานวิศวกรรมรถยนต์
E งานวิศวกรรมรถไฟ
F งานก่อสร้างเรือ
G โลหะประเภทเหล็กและโลหะวิทยา
H โลหะที่มิใช่เหล็ก
K งานวิศวกรรมเคมี
L งานวิศวกรรมสิ่งทอ
M แร่
P กระดาษและเยื่อกระดาษ
R เซรามิค
S สินค้าที่ใช้ภายในบ้าน
T ยา
W การบิน
ถัดจากตัวอักษรจะเป็นตัวเลข ซึ่งมีอยู่ด้วยกัน 4 ตัว มีความหมายดังนี้
ตัวเลขตัวแรก หมายถึง กลุ่มประเภทของเหล็ก เช่น
0 เรื่องทั่ว ๆ ไป การทดสอบและกฎต่าง ๆ
1 วิธีวิเคราะห์
2 วัตถุดิบ เหล็บดิบ ธาตุประสม
3 เหล็กคาร์บอน
4 เหล็กกล้าประสม
ตัวเลขตัวที่ 2 จะเป็นตัวแยกประเภทของวัสดุในกลุ่มนั้น เช่น ถ้าเป็นในกรณีเหล็ก จะมีดังนี้
1 เหล็กกล้าประสมนิเกิลและโครเมียม
2 เหล็กกล้าประสมอลูมิเนียมแลโครเมียม
3 เหล็กไร้สนิม
4 เหล็กเครื่องมือ
8 เหล็กสปริง
9 เหล็กกล้าทนการกัดกร่อนและความร้อน
ตัวเลขที่เหลือ 2 หลักสุดท้ายจะเป็นตัวแยกชนิดของส่วนผสมที่มีอยู่ในวัสดุนั้น เช่น ถ้าเป็นเหล็กตัวเลข 2 หลักสุดท้ายจะเป็นตัวแยกชนิดเหล็กตาม
ส่วนผสมธาตุที่มีอยู่ในเหล็กชนิดนั้น ๆ เช่น
01 เหล็กเครื่องมือ คาร์บอน
03 เหล็กไฮสปีด
04 เหล็กเครื่องมือประสม
ตาราง แสดงจำนวนมาตรฐานและชื่อประเทศที่ใช้มาตรฐาน
ลำดับที่ มาตรฐานของประเทศ มาตรฐาน
1 สหรัฐอเมริกา AISI
2 ฝรั่งเศส AFNOR
3 อังกฤษ B.S.
4 เชโกสโลวะเกีย CSN
5 เยอรมัน DIN
6 โซเวียต GOST
7 ญี่ปุ่น JIS
8 โปแลนด์ PN
9 สวีเดน SS
10 สเปน UNE
11 อิตาลี UNI
12 มาตรฐานสากล UNS
มาตรฐานของเหล็กกล้าเครื่องมือ
เหล็กกล้าเครื่องมือที่เป็นมาตรฐานสากลจะใช้มาตรฐาน UNS เป็นมาตรฐานหลัก ในท้องตลาดจะมีมาตรฐานใช้กันอยู่ประมาณ 12 มาตรฐาน โดยสามารถเทียบเข้ากับมาตรฐานสากลได้ โดยจะมีมาตรฐานหลักในการเทียบอยู่ 3 มาตรฐาน ซึ่งได้แก่ มาตรฐาน AISI, DIN, JIS และจากข้อมูลทางบริษัท บี.เค.เจ. เอนจิเนียริ่ง จำกัด พบว่า การค้นหาข้อมูลต่าง ๆ เกี่ยวกับการอบชุบจะต้องค้นหาโดยการเปิดหนังสือต่าง ๆ หรือคู่มือมาตรฐานเหล็ก โดยทางบริษัทต้องรู้มาตรฐานที่ใช้ว่า เป็นเหล็กมาตรฐานอะไรชนิดไหนต้องการความแข็งเท่าไรจากลูกค้า จึงทำการค้นหาข้อมูลต่าง ๆ ออกมาเพื่อกำหนดขบวนการในการอบชุบรวมทั้งระดับอุณหภูมิและเวลาต่าง ๆ แล้วให้พนักงานไปทำตามกรรมวิธีการอบชุบต่อไป ส่วนปัญหาเรื่องมาตรฐาน AISI ที่บริษัทใช้นั้น ซึ่งทางลูกค้าจะไม่นิยมใช้กัน ส่วนมากตามที่นิยมจะใช้มาตรฐาน JIS หรือ DIN เป็นส่วนใหญ่ ถ้ามีมาตรฐานที่ไม่พบมากนักในประเทศไทยก็จะเกิดปัญหาขึ้น ปัญหานี้ทางบริษัทต้องหาข้อมูลเพื่อนำมาเปรียบเทียบเป็นมาตรฐานที่ต้องการอีกที ถ้าเทียบไม่ได้ต้องทำการวิเคราะห์ส่วนผสมทางเคมีเสียก่อน คู่มือที่ใช้อยู่ในบริษัทจะมีการกำหนด กับชิ้นงานที่มีความหนาประมาณ 1 นิ้วเท่านั้น และมีรูปร่างที่เรียบง่าย ดังนั้นชิ้นงานที่มีความหนาหรือมีรูปร่างซับซ้อน กรรมวิธีการอบชุบจะต้องแตกต่างไปต้องมีการเพิ่มหรือลดลงของอุณหภูมิหรือเวลาเล็กน้อย โดยที่วิศวกรจะต้องใช้ประสบการณ์ที่ผ่านมาเพื่อตัดสินใจ แต่ทางบริษัทมีความเห็นว่า ข้อมูลในการอบชุบบางตัว ยังไม่คงที่มีการเปลี่ยนแปลงได้ ซึ่งขึ้นอยู่กับรูปร่างและความแข็งที่ต้องการ จึงอาจทำให้โปรแกรมเทคโนโลยี สารสนเทศการอบชุบเหล็กกล้าเครื่องมือด้วยความร้อนนี้อาจเกิดความไม่เที่ยงตรงทางข้อมูลได้
ชนิดของเหล็กกล้าเครื่องมือ
ชนิดของเหล็กกล้าเครื่องมือที่สามารถค้นคว้ามาได้ มีจำนวน 500 ชนิดจาก 12 มาตรฐาน ซึ่งมีดังนี้
มาตรฐาน AISI มีจำนวนทั้งสิ้น 110 ชนิด
มาตรฐาน DIN " 66 "
มาตรฐาน JIS มีจำนวนทั้งสิ้น 47 ชนิด
มาตรฐาน UNS " 80 "
มาตรฐาน AFNOR " 31 "
มาตรฐาน B.S. " 29 "
มาตรฐาน CSN " 22 "
มาตรฐาน GOST " 15 "
มาตรฐาน PN " 26 "
มาตรฐาน SS " 12 "
มาตรฐาน UNE " 27 "
มาตรฐาน UNI " 35 "
จากข้อมูลของบริษัท แอสแสบ สตีลส์ (ประเทศไทย) จำกัด พบว่า เหล็กกล้าเครื่องมือที่ผลิตจำหน่ายแก่ลูกค้าและนิยมใช้มากในประเทศไทย คือ เหล็ก W1, S5, O1, A2, D2, H12, T1, L6, และ H13 ซึ่งทางบริษัทจะมีชื่อยี่ห้อของเหล็กกล้าเครื่องมือ แต่ละชนิดไว้ในคู่มือการเลือกใช้เหล็ก แต่ปัจจุบันความเชื่อถือยี่ห้อ มีน้อยลงไปมาก บริษัทจึงหันมานิยมยึดถือตามมาตรฐานแทนโดยอาศัยมาตรฐาน AISI/SAE , JIS, DIN เป็นหลักในการเปรียบเทียบเหล็กที่จะผลิตออกมาเสมอ
ติดต่อเรา ......................
บริษัท เอเชี่ยนพลัส ซัพพลาย จำกัด 234/7 ม.7 ถนนสุขุมวิท ต.ท้ายบ้านใหม่ อ.เมืองสมุทรปราการ จ.สมุทรปราการ 10280
Tel.087-6039752 02-1863711,02-1863713 Fax.02-1863712
E-Mail : asianplussupply@hotmail.com
http://sites.google.com/site/specialmetalsthailand
http://sites.google.com/site/aluminiumasian http://sites.google.com/site/asianplussupply