จำหน่าย,ขาย,สแตนเลส 316,316L,304,304L,310,310S,410,420J2,416,431,440C,630,17-4PH
เจ้าของร้าน Login ที่นี่
หน้าร้าน
รายการสินค้า
ติดต่อร้านค้า ส่งข้อความหลังไมค์ วิธีการสั่งซื้อสินค้า แจ้งการชำระเงิน
สมาชิกร้านค้า
สินค้าแนะนำ
หมวดสินค้า
สถิติร้านค้า
เปิดร้าน09/04/2013
อัพเดท21/04/2024
เป็นสมาชิกเมื่อ 26/01/2012
สถิติเข้าชม315197
บริการของร้านค้า
ตรวจสอบสถานะไปรษณีย์
ลิงค์ที่เกี่ยวข้อง
จดหมายข่าว
ใส่ email ของท่านเพื่อรับข่าวสารร้านค้านี้

subscribe unsubscribe

ข้อมูลร้านค้า
   
ที่อยู่  บริษัท เอเชี่ยนพลัส ซัพพลาย จำกัด 234/7 หมู่ 7 ถ.สุขมวิท ต.ท้ายบ้านใหม่ อ.เมืองสมุทรปราการ จ.สมุทรปราการ 10280
โทร.  087-6039752 02-1863711 02-1863713 Fax.02-1863712
Mail  asianplussupply@hotmail.com
Search      Go

Home > All Product List > นำเข้าสแตนเลส 310,310S,SUS310H,SUS310,AISI310,AISI310S,แผ่นสแตนเลส 310S,SUS310,เพลาสแตนเลสทนความร้อน 310S,SUS310,SS310S,ขายสแตนเลส 310S,เพลาสแตนเลส 310H,สแตนเลส SUS310,จำหน่ายสแตนเลส SS310S,เพลาสแตนเลส 310,แผ่น UNS S31000 /ท่อสแตนเลส 310,DIN 1.4301


นำเข้าสแตนเลส 310,310S,SUS310H,SUS310,AISI310,AISI310S,แผ่นสแตนเลส 310S,SUS310,เพลาสแตนเลสทนความร้อน 310S,SUS310,SS310S,ขายสแตนเลส 310S,เพลาสแตนเลส 310H,สแตนเลส SUS310,จำหน่ายสแตนเลส SS310S,เพลาสแตนเลส 310,แผ่น UNS S31000 /ท่อสแตนเลส 310,DIN 1.4301

รูปภาพประกอบทั้งหมด 4 รูป

นำเข้าสแตนเลส 310,310S,SUS310H,SUS310,AISI310,AISI310S,แผ่นสแตนเลส 310S,SUS310,เพลาสแตนเลสทนความร้อน 310S,SUS310,SS310S,ขายสแตนเลส 310S,เพลาสแตนเลส 310H,สแตนเลส SUS310,จำหน่ายสแตนเลส SS310S,เพลาสแตนเลส 310,แผ่น UNS S31000 /ท่อสแตนเลส 310,DIN 1.4301

ลงประกาศเมื่อวันที่  :  28/01/2015
แก้ไขล่าสุด  :  25/07/2023
ราคา  ไม่ระบุราคา

ประวัติเรื่องราวการคิดค้นผลิตเหล็กกล้าไร้สนิม (History of Stainless Steel)

สแตนเลสเกรด 440c,416,430,410,630,17-4ph,2205,2207,309,304, 304l,316,316l, 420,420j2,310,310S,431,416,410,321,409,2083,2316

โลหะที่ทนต่อการกัดกร่อนถูกค้นพบครั้งแรกโดยนักโลหะวิทยาชาวฝรั่งเศส ปิแอร์ เบอร์แทร์ (Pierre Berthier) ในปี ค.ศ. 1821 เขาพบว่า เมื่อโลหะผสมกับโครเมียมจะมีคุณสมบัติทนต่อการกัดกร่อนจากกรดบางชนิด อย่างไรก็ตาม โลหะผสมโครเมียมในยุคนั้นยังมีความเปราะสูง แม้ ต่อมาในปี 1875 บรัสท์สเลอิน (Brustlein) ชาวฝรั่งเศส จะได้ค้นพบว่า จุดสำคัญของเหล็กกล้าโครเมียมต้องควบคุมปริมาณคาร์บอนให้ต่ำมากมากที่ประมาณ 0.15 % ก็ตาม แต่ยังไรก็ตามด้วยเทคโนโลยียุคนั้นก็ยังไม่สามารถผลิตโลหะที่มีคาร์บอนต่ำได้

เหล็กกล้าไร้สนิม (อังกฤษ: stainless steel) นั้น ในทางโลหกรรมถือว่า เป็นโลหะผสมเหล็ก ที่มีโครเมียมอย่างน้อยที่สุด 10.5% ชื่อในภาษาไทย แปลจากภาษาอังกฤษว่า stainless steel เนื่องจากโลหะผสมดังกล่าวไม่เป็นสนิมที่มีสาเหตุจากการทำปฏิกิริยากันระหว่าง ออกซิเจนในอากาศกับโครเมียมในเนื้อเหล็กกล้าไร้สนิม เกิดเป็นฟิล์มบางๆ เคลือบผิวไว้ ทำหน้าที่ปกป้องการเกิดความเสียหายให้กับตัวเนื้อเหล็กกล้าไร้สนิมได้เป็นอย่างดี ปกป้องการกัดกร่อน และไม่ชำรุดหรือสึกกร่อนง่ายอย่างโลหะทั่วไป สำหรับในสหรัฐอเมริกาและในหลายประเทศ โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมการบิน นิยมเรียกโลหะนี้ว่า corrosion resistant steel เมื่อไม่ได้ระบุชัดว่า เป็นโลหะผสมชนิดใด และคุณภาพระดับใด แต่ในท้องตลาดเราสามารถพบเห็น เหล็กกล้าไร้สนิมเกรด 18-8 มากที่สุด ซึ่งเป็นการระบุถึง ธาตุที่เจือลงในในเนื้อเหล็กคือ โครเมียมและนิเกิล ตามลำดับ

ประเภทของสแตนเลส
คนโดยทั่วไปจะไม่ทราบว่า สเตนเลสมีกี่ประเภท และมักจะมีการเข้าใจผิดว่า สเตนเลสแท้ต้องแม่เหล็กดูดไม่ติด แต่จริงๆ แล้วการที่แม่เหล็กจะดูดติดหรือไม่ติดนั้นขึ้นอยู่กับประเภทของสเตนเลส สเตนเลสแบ่งออกเป็นกลุ่มพื้นฐาน ได้ 5 กลุ่มคือ ออสเทนนิติค, เฟอริติค, ดูเพล็กซ์, มาร์เทนซิติค และ กลุ่มเพิ่มความแข็งโดยวิธีการตกผลึก

กลุ่มออสเทนนิติค (Austenitic) หรือสเตนเลสตระกูล 300 เป็นเกรดที่ใช้งานแพร่หลายมากที่สุดถึง 70%
มีคุณสมบัติที่แม่เหล็กดูดไม่ติด (non – magnetic) มีส่วนผสมของโครเมียม 16% คาร์บอนอย่างมากที่สุด 0.15% มีส่วนผสมของธาตุนิกเกิล 8% เพื่อปรับปรุงคุณสมบัติในการทำการประกอบ(Fabrication)และเพิ่มความต้านทานการกัดกร่อน เกรดที่รู้จักกันอย่างแพร่หลายและนิยมเรียก 18/10 คือการที่มีส่วนผสมของโครเมียม 18% และนิกเกิล 10%

กลุ่มเฟอริติค (Ferritic) แม่เหล็กดูดติด(magnetic) มีธาตุคาร์บอนผสมปริมาณที่ต่ำ และมีโครเมียมเป็นธาตุผสมหลักที่สำคัญอาจอยู่ระหว่าง 10.5%-27% และมีนิกเกิ้ลเป็นส่วนผสมอยู่น้อยมากหรือไม่มีเลย
กลุ่มมาร์เทนซิติค (Martensitic) แม่เหล็กดูดติด(magnetic) มีส่วนผสมของโครเมียม 12-14% และมีธาตุคาร์บอนผสมอยู่ปานกลาง มีโมลิบดีนัมเป็นส่วนผสมอยู่ประมาณ 0.2-1% ไม่มีนิกเกิล
สเตนเลสตระกูลนี้สามารถปรับความแข็งได้โดยการให้ความร้อนแล้วทำให้เย็นตัวอย่างรวดเร็ว (Quenching)และอบคืนตัว (Tempering) สามารถลดความแข็งได้ คล้ายกับเหล็กกล้าคาร์บอน และพบการใช้งานที่สำคัญในการผลิตเครื่องตัด, อุตสาหกรรมเครื่องบินและงานวิศวกรรมทั่วไป

กลุ่มเพิ่มความแข็งโดยการตกผลึก (Precipitation hardening)เกรดที่เป็นที่รู้จักในตระกูลนี้ คือ 17-4H ซึ่งมีส่วนผสมของโครเมียม 17% และนิกเกิล 4% สามารถเพิ่มความแข็งแรงได้โดยกลไกเพิ่มความแข็งจากการตกผลึก (Precipitation hardening mechanism) โดยสามารถเพิ่มความแข็งแรงสูงมาก มีค่าความเค้นพิสูจน์ (Proof stress) อยู่ระหว่าง 1,000 ถึง 1,500 เมกาปาสคาล (MPa) ขึ้นอยู่กับชนิดและกรรมวิธีปรับปรุงคุณสมบัติด้วยความร้อน (Heat treatment)

กลุ่มดูเพล็กซ์ (Duplex) มีโครงสร้างผสมระหว่าง โครงสร้างเฟอริติค และออสเทนนิติค มีโครเมียมเป็นธาตุผสมอยู่ระหว่าง 19-28% และโมลิบดินัมสูงกว่า 5% และมีนิกเกิลน้อยกว่าตระกูลออสเทนนิติค พบว่า มีการใช้งานมากโดยเฉพาะอย่างยิ่งในบรรยากาศแวดล้อมของคลอไรด์

สเตนเลสแบ่งออกได้เป็น 4 กลุ่มหลัก (อีกนิยามหนึ่ง)
MARTENSITIC เป็นกลุ่มที่มีส่วนผสมของโครเมี่ยม (Cr) ระหว่าง 12 - 18% โดยมีเกรด 403, 410, 414,416, 420, 431, 416, 440A/B/C, 501 และ 502 คุณสมบัติหลักคือ สามารถชุบแข็งได้ ซึ่งส่งผลให้เนื้อสเตนเลสมีความแข็งแกร่งมากและทนต่อการเสียดสีได้ดี จึงเหมาะกับงานทำชิ้นส่วนเครื่องมือ เครื่องจักร แต่แม่เหล็กสามารถดูดติดได้

FERRITIC เป็นกลุ่มที่มีโครเมี่ยม (Cr) อยู่ระหว่าง 12 - 18% และมีคาร์บอน (C) น้อยกว่า 0.2% สเตนเลสในกลุ่มนี้มีราคาถูกที่สุด ไม่สามารถรีดให้แข็งขึ้นได้ แม่เหล็กดูดติด และไม่สามารถชุบแข็งได้ มีโอกาสเป็นสนิมได้ง่ายกว่ากลุ่มอื่น หากใช้งานในสิ่งแวดล้อมที่ไม่เหมาะสม จึงนิยมนำมาใช้งาน บางชนิดที่ไม่สัมผัสกับกรดโดยตรง เช่น ฝอยขัดหม้อ ลวดรัดสายไฟฟ้า โครงโต๊ะวางเตาแก๊ส เกรดในกลุ่มนี้มี 405, 430, 442 และ 446

AUSTENITIC เป็นกลุ่มที่นิยมใช้กันมากที่สุด โดยมีโครเมียม (Cr) 10.5 -24% เมื่อเพิ่มนิเกิ้ล (Ni) จะทำให้สเตนเลสมีคุณสมบัติทนต่อสนิมและการกัดกร่อนได้ดี สามารถเพิ่มความแข็งด้วยการรีดเย็นได้ แม่เหล็กดูดไม่ติด แต่ไม่สามารถชุบแข็งได้ เกรดในกลุ่มนี้มี 201, 202, 301, 302, 303, 304, 305, 308, 309, 310, 314, 316, 347 และ 348

DUPLEX เป็นกลุ่มที่ผสมกันระหว่า AUSTENITIC และ FERRITIC ซึ่งนำข้อดีของทั้งสองกลุ่มมารวมกันเพื่อวัตถุประสงค์ของการใช้งานเฉพาะเจาะจงบางประเภท ซึ่งไม่ค่อยมีการผลิตมากนัก

ผิวของสเตนเลส
No.1- รีดร้อนหรือรีดเย็น / อบอ่อน หรือปรับปรุงด้วยความร้อน คราบออกไซด์ไม่ได้ขจัดออก / ใช้งานในสภาพที่รีดออกมาโดยทั่วไปจะใช้งานที่ทนความร้อน

2D- สภาพผิว 2D หลังจากการรีดเย็นโดยลดความหนาลง ผ่านการอบอ่อนและการกัดผิวโดยกรดลักษณะผิวสีเทาเงินเรียบ

2B- ผิว 2D ที่ผ่านลูกรีดขนาดใหญ่กดทับปรับความเรียบ เพิ่มความเงาผิวเงาสะท้อนปานกลาง ผลิตโดยวิธีการรีดเย็น ตามด้วยการอบนำอ่อนขจัดคราบออกไซด์ และนำไปรีดเบาๆ ผ่านไปยังลูกกลิ้งขัด ซึ่งเป็นวิธีการทั่วไปของการรีดเย็น ผิวที่ได้ส่วนมากจะอยู่ในระดับ 2B

BA-ผ่านกระบวนการรีดเย็นโดยความหนาลดลงทีละน้อยๆ ผ่านการอบอ่อนด้วยก๊าซไฮโดรเจน เพื่อป้องกันกันการออกซิเดชั่นกับออกซิเจนในอากาศ ผิวมันเงา สะท้อนความเงาได้ดี ผิวผลิตภัณฑ์สเตนเลสจะกระทำด้วยวิธีนี้ ซึ่งจะมีเครื่องหมาย BA หรือ No.2BA, A ซึ่งผิวอบอ่อนเงา จะมีลักษณะเงากระจก ซึ่งเริ่มต้นจากการรีดเย็น อบอ่อนในเตาควบคุมบรรยากาศ ผิวเงาที่เห็นจะเป็นการขัดผิวด้วยลูกกลิ้งขัดผิว หรือเจียรนัยผิวตามเกรดที่ต้องการ ผิวอบอ่อนเงาส่วนมากจะใช้กับงานสถาปัตยกรรม ที่ต้องการผิวสะท้อน ผิวอบอ่อนสีน้ำนมจะไม่สะท้อนแสงเหมือนกับ No.8 จะใช้กับงานที่เป็นขอบ ชิ้นส่วนทางสถาปัตยกรรม ภาชนะในครัว อุปกรณ์ในกระบวนการผลิตอาหาร

No.4, Hair Line- สภาพผิว 2B ที่ผ่านการจัดถูด้วยกระดาษทรายเบอร์ 120-220 โดยค่าความหยาบขึ้นอยู่กับแรงกด, ขนาดของอนุภาคเม็ดทราย และระยะเวลาการใช้งานของกระดาษทราย ผิว No.4 เป็นสภาพผิวที่สนองต่อการนำไปใช้งานทั่วไป เช่นร้านอาหาร อุปกรณ์เครื่องใช้ในครัว อุปกรณ์รีดนม

No.8- สภาพผิว 2B, BA ขัดด้วยผ้าขัดอย่างละเอียดมากขั้นตามลำดับ เช่น #1000, ผ้าขนสัตว์ โดยมีผงขัดอะลูมิเนียมและโครเมียมออกไซด์ ผิว No.8 ส่วนมากจะเป็นผิวเงาสะท้อนคล้ายกระจกเงา ผลิตภัณฑ์ส่วนใหญ่จะเป็นสเตนเลสชนิดแผ่นโดยผิวจะถูกขัดด้วยเครื่องขัดละเอียด นำไปใช้กับงานตก แต่งทางด้านสถาปัตยกรรม และงานที่เน้นความสวยงาม

สเตนเลสประเภทนี้จัดเป็น Commercial Grade คือมีใช้ทั่วไปหาซื้อได้ง่าย มักใช้ทำเครื่องใช้ทั่วไป ซึ่งเราสามารถจำแนกประเภทของเหล็กกล้าไร้สนิมได้จากเลขรหัสที่กำหนดขึ้นตามมาตรฐาน AISI เช่น 304 304L 316 316L เป็นต้น ซึ่งส่วนผสมจะเป็นตัวกำหนดเกรดของเหล็กกล้าไร้สนิม ซึ่งมีความต้องการในการใช้งานที่แตกต่างกันออกไป เหล็กกล้าไร้สนิมกับการเกิดสนิม ปกติ Stainless steel จะไม่เป็นสนิม เพราะที่ผิวของมันจะมีฟิล์มโครเมียมออกไซด์ บางๆ เคลือบผิวอยู่อันเนื่องมาจากการทำปฏิกิริยากันระหว่าง Cr ใน Stainless steel กับ ออกซิเจนในอากาศ การทำให้ Stainless steel เป็นสนิมคือการถูกทำลายฟิล์มโครเมียมออกไซด์ ที่เคลือบผิวออกไปในสภาวะที่ Stainless steel สามารถเกิดสนิมได้ ก่อนที่ฟิล์มโครเมียมออกไซด์จะก่อตัวขึ้นมาอีกครั้งเช่น ถ้าเหล็กกล้าไร้สนิมถูกทำให้เกิดรอยขีดข่วน แล้วบริเวณรอยนั้นมีความชื้น ซึ่งสามารถทำให้เกิดปฏิกิริยากับธาตุเหล็กก่อนที่ฟิล์มโครเมียมออกไซด์จะก่อตัวขึ้นมา ก็จะเป็นสาเหตุให้เกิดสนิมขึ้นได้

ในช่วงแรกเหล็กกล้าไร้สนิมมีจำหน่ายในสหรัฐอเมริกาภายใต้ชื่อแบรนด์ที่แตกต่างกันเช่น "Allegheny metal" และ "Nirosta steel" แม้ แต่ในอุตสาหกรรมโลหะวิทยาชื่อก็ยังไม่มั่นคง ในปีพ. ศ. 2464 วารสารการค้าฉบับหนึ่งเรียกมันว่า "เหล็กกล้าไร้สนิม" [25]ในปีพ. ศ. 2472 ก่อนช่วงเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่มีการผลิตและจำหน่ายเหล็กกล้าไร้สนิมมากกว่า 25,000 ตันในสหรัฐอเมริกาทุกปี [26]

ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีที่สำคัญในทศวรรษ 1950 และ 1960 ทำให้สามารถผลิตน้ำหนักได้มากในราคาที่เหมาะสม:

กระบวนการ AOD (การแยกออกซิเจนด้วยอาร์กอน) สำหรับการกำจัดคาร์บอนและกำมะถัน
การหล่อแบบต่อเนื่องและการรีดแถบร้อน[27]
Z-Millหรือ Sendzimir เย็นกลิ้งบด[28] [29]
ตระกูลสแตนเลส

มีห้าตระกูลหลัก ซึ่งแบ่งตามโครงสร้างของผลึกเป็นหลักได้แก่ ออสเทนนิติกเฟอร์ริติกมาร์เทนซิติกดูเพล็กซ์และการแข็งตัวของหยาดน้ำฟ้า

เหล็กกล้าไร้สนิมออสเทนนิติก
เหล็กกล้าไร้สนิมออสเทนนิติก[30] [31]เป็นตระกูลสเตนเลสที่ใหญ่ที่สุดโดยคิดเป็นสองในสามของการผลิตสแตนเลสทั้งหมด (ดูตัวเลขการผลิตด้านล่าง) [32]พวกมันมีโครงสร้างจุลภาคแบบออสเทนนิติก ซึ่งเป็นโครงสร้างผลึกลูกบาศก์ที่มีใบหน้าเป็นศูนย์กลาง [33]โครงสร้างจุลภาคนี้ทำได้โดยการผสมเหล็กที่มีนิกเกิลและ / หรือแมงกานีสและไนโตรเจนเพียงพอเพื่อรักษาโครงสร้างจุลภาคของออสเทนนิติกที่อุณหภูมิทั้งหมดตั้ง แต่บริเวณที่มีการแช่แข็งไปจนถึงจุดหลอมเหลว [33]ดังนั้นสเตนเลสออสเทนนิติกจึงไม่สามารถชุบแข็งได้โดยการอบชุบเนื่องจากมีโครงสร้างจุลภาคเหมือนกันในทุกอุณหภูมิ [33]

เหล็กกล้าไร้สนิมออสเทนนิติกสามารถแบ่งย่อยได้อีกเป็นสองกลุ่มย่อย 200 ซีรีส์และ 300 ซีรีส์:

200 series [34]เป็นโลหะผสมโครเมียม - แมงกานีส - นิกเกิลที่เพิ่มการใช้แมงกานีสและไนโตรเจนให้มากที่สุดเพื่อลดการใช้นิกเกิล เนื่องจากมีการเติมไนโตรเจนทำให้มีความแข็งแรงในการให้ผลผลิตสูงกว่าเหล็กแผ่นสเตนเลส 300 ซีรีส์ประมาณ 50%
Type 201 สามารถชุบแข็งได้โดยการทำงานที่เย็น [35]
Type 202 เป็นเหล็กกล้าไร้สนิมสำหรับใช้งานทั่วไป การลดปริมาณนิกเกิลและแมงกานีสที่เพิ่มขึ้นส่งผลให้มีความต้านทานการกัดกร่อนที่อ่อนแอ [36]
300 ซีรีส์เป็นโลหะผสมโครเมียม - นิกเกิลที่มีโครงสร้างจุลภาคออสเทนนิติกเกือบโดยเฉพาะโดยการผสมนิกเกิล เกรดที่มีโลหะผสมสูงมาก ได้แก่ ไนโตรเจนบางส่วนเพื่อลดความต้องการนิกเกิล 300 series เป็นกลุ่มที่ใหญ่ที่สุดและใช้กันอย่างแพร่หลายมากที่สุด
ประเภท304 : เกรดที่รู้จักกันดีที่สุดคือ Type 304 หรือที่เรียกว่า 18/8 และ 18/10 สำหรับองค์ประกอบของโครเมียม 18% และนิกเกิล 8% / 10% ตามลำดับ [37]
ประเภท316 : สเตนเลสออสเทนนิติกที่พบมากเป็นอันดับสองคือประเภท 316 การเพิ่มโมลิบดีนัม 2% ทำให้มีความต้านทานต่อกรดและการกัดกร่อนที่เกิดจากคลอไรด์อิออนมากขึ้น รุ่นคาร์บอนต่ำเช่น316Lหรือ 304L มีปริมาณคาร์บอนต่ำกว่า 0.03% และใช้เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาการกัดกร่อนที่เกิดจากการเชื่อม [38]
เหล็กกล้าไร้สนิมเฟอร์ริติก
เหล็กกล้าไร้สนิมเฟอร์ริติกมีโครงสร้างจุลภาคของเฟอร์ไรต์เช่นเหล็กกล้าคาร์บอน ซึ่งเป็นโครงสร้างผลึกลูกบาศก์ที่มีร่างกายเป็นศูนย์กลางและมีโครเมียมระหว่าง 10.5% ถึง 27% โดยมีนิกเกิลน้อยมากหรือไม่มีเลย โครงสร้างจุลภาคนี้มีอยู่ในทุกอุณหภูมิเนื่องจากมีการเติมโครเมียมดังนั้นจึงไม่สามารถแข็งตัวได้โดยการอบชุบด้วยความร้อน ไม่สามารถเสริมความแข็งแรงด้วยงานเย็นในระดับเดียวกับสเตนเลสออสเทนนิติก พวกมันเป็นแม่เหล็ก

การเพิ่มไนโอเบียม (Nb) ไทเทเนียม (Ti) และเซอร์โคเนียม (Zr) ไปยัง Type 430 ช่วยให้สามารถเชื่อมได้ดี (ดูส่วนการเชื่อมด้านล่าง)

เนื่องจากไม่มีนิกเกิลใกล้จึงมีราคาถูกกว่าเหล็กกล้าออสเทนนิติกและมีอยู่ในผลิตภัณฑ์หลายประเภท ซึ่งรวมถึง:

ท่อไอเสียรถยนต์ (ประเภท 409 และ 409 Cb ใช้ในอเมริกาเหนือเกรดที่มีความเสถียร Type 439 และ 441 ใช้ในยุโรป) [39]
การใช้งานทางสถาปัตยกรรมและโครงสร้าง (ประเภท 430 ซึ่งมี 17% Cr) [40]
ส่วนประกอบของอาคารเช่นตะขอหินชนวนหลังคาและท่อปล่องไฟ
แผ่นพลังงานในเซลล์เชื้อเพลิงออกไซด์แข็งที่ทำงานที่อุณหภูมิประมาณ 700 ° C (1,292 ° F) (เฟอร์ริติกโครเมียมสูงที่มี Cr 22%) [41]
เหล็กกล้าไร้สนิมมาร์เทนซิติก
เหล็กกล้าไร้สนิมมาร์เทนซิติกมีคุณสมบัติที่หลากหลายและใช้เป็นเหล็กกล้าวิศวกรรมสเตนเลสเหล็กกล้าเครื่องมือสเตนเลสและเหล็กกล้าทนการคืบ เป็นแม่เหล็กและไม่ทนต่อการกัดกร่อนเหมือนกับเหล็กกล้าไร้สนิมเฟอร์ริติกและออสเทนนิติกเนื่องจากมีโครเมียมต่ำ พวกเขาแบ่งออกเป็นสี่ประเภท (มีบางส่วนที่ทับซ้อนกัน): [42]

เกรด Fe-Cr-C เกรดเหล่านี้เป็นเกรดแรกที่ใช้และยังคงใช้กันอย่างแพร่หลายในด้านวิศวกรรมและการใช้งานที่ทนต่อการสึกหรอ
เกรด Fe-Cr-Ni-C คาร์บอนบางส่วนถูกแทนที่ด้วยนิกเกิล มีความเหนียวสูงและทนต่อการกัดกร่อนสูงขึ้น เกรด EN 1.4303 (เกรดการหล่อ CA6NM) ที่มี Cr 13% และ Ni 4% ใช้สำหรับกังหันPelton , KaplanและFrancisส่วนใหญ่ในโรงไฟฟ้าพลังน้ำ[43]เนื่องจากมีคุณสมบัติในการหล่อที่ดีความสามารถในการเชื่อมที่ดีและความต้านทานต่อการกัดเซาะของโพรงอากาศได้ดี
เกรดการชุบแข็งที่ตกตะกอน เกรด EN 1.4542 (ยังเป็นที่รู้จักกันเป็น 17 / 4PH) ที่รู้จักกันดีเกรดรวมแข็ง martensitic และเร่งรัดการชุบแข็ง มีความแข็งแรงสูงและมีความเหนียวที่ดีและใช้ในการบินและอวกาศท่ามกลางการใช้งานอื่น ๆ
เกรดต้านทานการคืบ เพิ่มเติมเล็ก ๆ ของไนโอเบียมวานาเดียม , โบรอนและโคบอลต์เพิ่มความแข็งแรงและความคืบต้านทานได้ถึงประมาณ 650 ° C (1,202 ° F)
การอบชุบด้วยความร้อนของเหล็กกล้าไร้สนิมมาร์เทนซิติก
เหล็กกล้าไร้สนิมมาร์เทนซิติกสามารถผ่านการอบด้วยความร้อนเพื่อให้มีคุณสมบัติเชิงกลที่ดีขึ้น

โดยทั่วไปการอบชุบด้วยความร้อนจะมีสามขั้นตอน: [44]

Austenitizing ซึ่งเหล็กถูกทำให้ร้อนถึงอุณหภูมิในช่วง 980–1,050 ° C (1,800–1,920 ° F) ขึ้นอยู่กับเกรด ออสเทนไนต์ที่ได้มีโครงสร้างผลึกลูกบาศก์ที่มีใบหน้าเป็นศูนย์กลาง
ดับ ออสเทนไนต์ถูกเปลี่ยนเป็นมาร์เทนไซต์ ซึ่งเป็นโครงสร้างผลึกเตตระรากอนที่มีร่างกายแข็งเป็นศูนย์กลาง มาร์เทนไซต์ที่ดับแล้วแข็งและเปราะเกินไปสำหรับการใช้งานส่วนใหญ่ ออสเทนไนต์บางส่วนอาจหลงเหลืออยู่
แบ่งเบา. มาร์เทนไซต์ได้รับความร้อนประมาณ 500 ° C (932 ° F) เก็บไว้ที่อุณหภูมิจากนั้นระบายความร้อนด้วยอากาศ อุณหภูมิในการแบ่งเบาบรรเทาที่สูงขึ้นจะลดความแข็งแรงของผลผลิตและความต้านทานแรงดึงสูงสุด แต่เพิ่มการยืดตัวและความต้านทานต่อแรงกระแทก
เหล็กกล้าไร้สนิมมาร์เทนซิติกผสมไนโตรเจน
การเปลี่ยนคาร์บอนบางส่วนในเหล็กกล้าไร้สนิมมาร์เทนซิติกด้วยไนโตรเจนเป็นการพัฒนาล่าสุด [ เมื่อไหร่? ]ความสามารถในการละลายที่ จำกัด ของไนโตรเจนจะเพิ่มขึ้นโดยกระบวนการกลั่นอิเล็กโตรแลกเกอร์ด้วยความดัน (PESR) ซึ่งการหลอมจะดำเนินการภายใต้ความดันไนโตรเจนสูง ได้รับเหล็กกล้าที่มีไนโตรเจนสูงถึง 0.4% ซึ่งนำไปสู่ความแข็งและความแข็งแรงที่สูงขึ้นและความต้านทานการกัดกร่อนที่สูงขึ้น เนื่องจาก PESR มีราคาแพงจึงได้รับปริมาณไนโตรเจนที่ต่ำกว่า แต่มีนัยสำคัญโดยใช้กระบวนการแยกออกซิเจนอาร์กอนมาตรฐาน(AOD) [45] [46] [47] [48] [49]

เหล็กกล้าไร้สนิมดูเพล็กซ์
เหล็กกล้าไร้สนิมดูเพล็กซ์มีโครงสร้างจุลภาคผสมของออสเทนไนต์และเฟอร์ไรต์ ซึ่งเป็นอัตราส่วนที่เหมาะสมที่สุดคือส่วนผสม 50:50 แม้ว่า โลหะผสมเชิงพาณิชย์อาจมีอัตราส่วน 40:60 มีลักษณะเป็นโครเมียมสูงกว่า (19–32%) และโมลิบดีนัม (มากถึง 5%) และมีปริมาณนิกเกิลต่ำกว่าสเตนเลสออสเทนนิติก เหล็กกล้าไร้สนิมดูเพล็กซ์มีกำลังรับผลผลิตมากกว่าเหล็กกล้าไร้สนิมออสเทนนิติกประมาณสองเท่า โครงสร้างจุลภาคแบบผสมช่วยเพิ่มความต้านทานต่อการแตกร้าวการกัดกร่อนของความเครียดคลอไรด์เมื่อเปรียบเทียบกับเหล็กกล้าไร้สนิมออสเทนนิติกประเภท 304 และ 316

โดยทั่วไปเกรดดูเพล็กซ์จะแบ่งออกเป็นสามกลุ่มย่อยโดยพิจารณาจากความต้านทานการกัดกร่อน ได้แก่ ลีนดูเพล็กซ์มาตรฐานดูเพล็กซ์และซูเปอร์ดูเพล็กซ์

คุณสมบัติของเหล็กกล้าไร้สนิมดูเพล็กซ์ทำได้โดยมีปริมาณโลหะผสมโดยรวมต่ำกว่าเกรดซูเปอร์ออสเทนนิติกที่มีประสิทธิภาพใกล้เคียงกันทำให้การใช้งานคุ้มค่าสำหรับการใช้งานจำนวนมาก อุตสาหกรรมเยื่อและกระดาษเป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมแรก ๆ ที่ใช้เหล็กกล้าไร้สนิมดูเพล็กซ์อย่างกว้างขวาง ปัจจุบันอุตสาหกรรมน้ำมันและก๊าซเป็นผู้ใช้รายใหญ่ที่สุดและได้ผลักดันให้มีเกรดที่ทนต่อการกัดกร่อนมากขึ้น ซึ่งนำไปสู่การพัฒนาเกรดซูเปอร์ดูเพล็กซ์และไฮเปอร์ดูเพล็กซ์ เมื่อไม่นานมานี้ลีนดูเพล็กซ์ราคาไม่แพง (และทนต่อการกัดกร่อนน้อยกว่าเล็กน้อย) ได้รับการพัฒนาโดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับการใช้งานโครงสร้างในอาคารและการก่อสร้าง (แท่งเหล็กเสริมคอนกรีตแผ่นสำหรับสะพานงานชายฝั่ง) และในอุตสาหกรรมน้ำ

สแตนเลสชุบแข็งตกตะกอน
สเตนเลสสตีลชุบแข็งแบบตกตะกอนมีความต้านทานการกัดกร่อนเทียบเท่ากับพันธุ์ออสเทนนิติก แต่สามารถตกตะกอนให้แข็งตัวได้ดีกว่าเกรดมาร์เทนซิติกอื่น ๆ สเตนเลสสตีลชุบแข็งตกตะกอนมีสามประเภท: [50]

Martensitic 17-4 PH [51] (AISI 630 EN 1.4542) มี Cr 17%, Ni 4%, 4% Cu และ 0.3% Nb
การบำบัดด้วยสารละลายที่อุณหภูมิประมาณ 1,040 ° C (1,900 ° F) ตามด้วยการดับทำให้โครงสร้างมาร์เทนซิติกค่อนข้างเหนียว การรักษาอายุที่ตามมาที่ 475 ° C (887 ° F) จะตกตะกอนเฟส Nb และ Cu ที่อุดมไปด้วย ซึ่งจะเพิ่มความแข็งแรงได้สูงกว่า 1,000 MPa ระดับความแข็งแรงที่โดดเด่นนี้ใช้ในการใช้งานที่มีเทคโนโลยีสูงเช่นการบินและอวกาศ (โดยปกติหลังจากการหลอมใหม่เพื่อกำจัดการรวมที่ไม่ใช่โลหะ ซึ่งจะเพิ่มอายุการใช้งานที่เหนื่อยล้า) ข้อได้เปรียบที่สำคัญอีกประการหนึ่งของเหล็กชนิดนี้คือการเสื่อมสภาพ ซึ่งแตกต่างจากการอบชุบด้วยการแบ่งเบาบรรเทาจะดำเนินการที่อุณหภูมิที่สามารถใช้ได้กับชิ้นส่วนสำเร็จรูป (เกือบ) โดยไม่มีการบิดเบือนและการเปลี่ยนสี

เซมิออสเทนนิติก 17-7PH [51] (AISI 631 EN 1.4568) มี Cr 17%, 7.2% Ni และ 1.2% Al
การบำบัดความร้อนโดยทั่วไปเกี่ยวข้องกับการบำบัดและการชุบด้วยสารละลาย เมื่อถึงจุดนี้โครงสร้างยังคงเป็นออสเทนนิติก จากนั้นการเปลี่ยนรูปมาร์เทนซิติกจะได้รับโดยการบำบัดด้วยความเย็นที่อุณหภูมิ −75 ° C (−103 ° F) หรือโดยงานเย็นอย่างรุนแรง (การเสียรูปมากกว่า 70% โดยปกติจะเกิดจากการรีดเย็นหรือการวาดลวด) อายุที่ 510 ° C (950 ° F) - ซึ่งตกตะกอนเฟสอินเตอร์เมทัลลิกNi 3 Al จะดำเนินการดังที่กล่าวไว้ข้างต้นสำหรับชิ้นส่วนที่เกือบเสร็จแล้ว จากนั้นจะถึงระดับความเครียดที่ให้ผลผลิตที่สูงกว่า 1,400 MPa

ออสเทนนิติก A286 [52] (ASTM 660 EN 1.4980) ประกอบด้วย Cr 15% Ni 25% Ti 2.1% โม 1.2% V 1.3% และ B 0.005%
โครงสร้างยังคงออสเทนนิติกที่อุณหภูมิทั้งหมด

การบำบัดความร้อนโดยทั่วไปเกี่ยวข้องกับการบำบัดและการชุบสารละลายตามด้วยการเสื่อมสภาพที่ 715 ° C (1,319 ° F) ความชราก่อตัวขึ้น Ni 3 Ti จะตกตะกอนและเพิ่มความแข็งแรงของผลผลิตเป็นประมาณ 650 MPa ที่อุณหภูมิห้อง ซึ่งแตกต่างจากเกรดข้างต้นคุณสมบัติเชิงกลและความต้านทานการคืบของเหล็กนี้ยังคงดีมากที่อุณหภูมิสูงถึง 700 ° C (1,292 ° F) เป็นผลให้ A286 จัดอยู่ในประเภทsuperalloy ที่ใช้Fe ซึ่งใช้ในเครื่องยนต์เจ็ทกังหันก๊าซและชิ้นส่วนเทอร์โบ

เกรด
สเตนเลสสตีลมีมากกว่า 150 เกรด ซึ่งส่วนใหญ่นิยมใช้ 15 เกรด มีหลายระบบสำหรับการคัดเกรดสเตนเลสและเหล็กกล้าอื่น ๆ รวมถึงเกรดเหล็กของ US SAE

ความต้านทานการกัดกร่อน
เหล็กกล้าไร้สนิม (แถวล่าง) ทนต่อ การกัดกร่อนของน้ำเค็มได้ ดีกว่า อลูมิเนียมบรอนซ์ (แถวบนสุด) หรือ โลหะผสมทองแดง - นิกเกิล (แถวกลาง)
ซึ่งแตกต่างจากเหล็กกล้าคาร์บอนตรงที่เหล็กกล้าไร้สนิมไม่ได้รับการกัดกร่อนอย่างสม่ำเสมอเมื่อสัมผัสกับสภาพแวดล้อมที่เปียก เหล็กกล้าคาร์บอนที่ไม่มีการป้องกันจะเกิดสนิมได้ง่ายเมื่อสัมผัสกับอากาศและความชื้นรวมกัน ชั้นผิวเหล็กออกไซด์ที่เกิดขึ้นมีรูพรุนและเปราะบาง นอกจากนี้เนื่องจากเหล็กออกไซด์มีปริมาณมากกว่าเหล็กเดิมชั้นนี้จะขยายตัวและมีแนวโน้มที่จะหลุดล่อนและหลุดออกไปทำให้เหล็กที่อยู่ข้างใต้สามารถโจมตีได้มากขึ้น ในการเปรียบเทียบสเตนเลสสตีลมีโครเมียมเพียงพอที่จะผ่านกระบวนการพาสซีฟโดยธรรมชาติจะสร้างฟิล์มพื้นผิวเฉื่อยบาง ๆ ของโครเมียมออกไซด์โดยทำปฏิกิริยากับออกซิเจนในอากาศและแม้กระทั่งออกซิเจนที่ละลายในน้ำเพียงเล็กน้อย ฟิล์มพาสซีฟนี้ป้องกันการกัดกร่อนเพิ่มเติมโดยการปิดกั้นการแพร่กระจายของออกซิเจนไปยังพื้นผิวเหล็กและป้องกันการกัดกร่อนจากการแพร่กระจายเข้าไปในโลหะส่วนใหญ่ [3]ภาพยนตร์เรื่องนี้ซ่อมแซมตัวเองได้แม้ว่า จะมีรอยขีดข่วนหรือถูกรบกวนชั่วคราวจากสภาพแวดล้อมที่ไม่พึงประสงค์ ซึ่งเกินความต้านทานการกัดกร่อนโดยธรรมชาติของเกรดนั้น [53] [54]

ความต้านทานของฟิล์มนี้ต่อการกัดกร่อนขึ้นอยู่กับองค์ประกอบทางเคมีของสแตนเลสโดยส่วนใหญ่จะมีปริมาณโครเมียม เป็นเรื่องปกติที่จะแยกความแตกต่างระหว่างรูปแบบการกัดกร่อนสี่รูปแบบ: สม่ำเสมอ, เฉพาะพื้นที่ (หลุม), กัลวานิกและ SCC (การแตกร้าวการกัดกร่อนของความเครียด) การกัดกร่อนรูปแบบใด ๆ เหล่านี้สามารถเกิดขึ้นได้เมื่อเกรดของสแตนเลสไม่เหมาะสมกับสภาพแวดล้อมการทำงาน

.
แผ่นสแตนเลส สแตนเลสแผ่น (Stainless Sheet) - No.310,310S, 304, 316L, 430
แผ่นสแตนเลสตัดขายตามต้องการ แผ่นสแตนเลสตัดขายตามขนาด แบ่งขาย
- สแตนเลสแผ่นเรียบ (Stainless Steel Sheet) แบ่งขาย
- สแตนเลสแผ่นลายกันลื่น (Checker Plate Stainless Steel)
- สแตนเลสแผ่นเจาะรู (Stainless Steel Sheet with hole)
- ชิมสแตนเลส (Spring Stainless Sheet)

สแตนเลสเส้น (Stainless Bar)
- สแตนเลสเส้นกลม (Stainless Round Bar)
- สแตนเลสเส้นสี่เหลี่ยม (Stainless Square Bar)
- สแตนเลสเส้นหกเหลี่ยม (Stainless Hexagon Bar)

ประเภทสแตนเลสสำเร็จรูป
สแตนเลสเส้น (Stainless Bar)
สแตนเลสเส้นกลม (Stainless Round Bar)
สแตนเลสเส้นสี่เหลี่ยม (Stainless Square Bar)
สแตนเลสเส้นหกเหลี่ยม (Stainless Hexagon Bar)
สแตนเลสเส้นฉาก (Stainless Angle)
เส้นแบน (Stainless Flat Bar)
แผ่น (Stainless Sheet) No. 304, 316L, 430
สแตนเลสแผ่นเรียบ (Stainless steal sheet)
สแตนเลสแผ่นลายกันลื่น Checker plate stainless steel
สแตนเลสแผ่นเจาะรู
แป๊ปสแตนเลส (Stainless Pipe) No. 304, 316L, 420
แป๊ปสแตนเลสเงา (Stainless steal solid pipe)
แป๊ปสแตนเลสด้าน (Stainless steel pipe ASTM)
แป๊ปสแตนเลสด้านมีตะเข็บ
แป๊ปสแตนเลสด้านไม่มีตะเข็บ (Seamless stainless pipe)
แป๊ปสแตนเลสกลม (Round stainless pipe)
แป๊ปสแตนเลสสี่เหลี่ยม (Square stainless steal pipe)
แผ่นสแตนเลส สแตนเลสแผ่น (Stainless Sheet) - No. 304, 316L, 430
แผ่นสแตนเลสตัดขายตามต้องการ แผ่นสแตนเลสตัดขายตามขนาด แบ่งขาย
- สแตนเลสแผ่นเรียบ (Stainless Steel Sheet) แบ่งขาย
- สแตนเลสแผ่นลายกันลื่น (Checker Plate Stainless Steel)
- สแตนเลสแผ่นเจาะรู (Stainless Steel Sheet with hole)
- ชิมสแตนเลส (Spring Stainless Sheet)
สแตนเลสเส้น (Stainless Bar)
- สแตนเลสเส้นกลม (Stainless Round Bar)
- สแตนเลสเส้นสี่เหลี่ยม (Stainless Square Bar)
- สแตนเลสเส้นหกเหลี่ยม (Stainless Hexagon Bar)

สเตนเลส หรือตามศัพท์บัญญัติเรียกว่า เหล็กกล้าไร้สนิม เป็นเหล็กที่มีปริมาณคาร์บอนต่ำ(น้อยกว่า 2%)ของน้ำหนัก มีส่วนผสมของโครเมียม อย่างน้อย 10.5% กำเนิดขึ้นในปี พ.ศ.1903 เมื่อนักวิทยาศาสตร์พบว่า การเติมนิเกิล โมบิดินัม ไททาเนียม ไนโอเนียม หรือโลหะอื่นแตกต่างกันไปตามชนิด ของคุณสมบัติเชิงกล และการใช้ลงในเหล็กกล้าธรรมดา ทำให้เหล็กกล้ามีความต้านทานการเกิดสนิมได้
ประวัติการคิดค้นสเตนเลส (History of Stainless Steel)

โลหะที่ทนต่อการกัดกร่อนถูกค้นพบครั้งแรกโดยนักโลหะวิทยาชาวฝรั่งเศส ปิแอร์ เบอร์แทร์ (Pierre Berthier) ในปี ค.ศ. 1821 เขาพบว่า เมื่อโลหะผสมกับโครเมียมจะมีคุณสมบัติทนต่อการกัดกร่อนจากกรดบางชนิด อย่างไรก็ตาม โลหะผสมโครเมียมในยุคนั้นยังมีความเปราะสูง แม้ ต่อมาในปี 1875 บรัสท์สเลอิน (Brustlein) ชาวฝรั่งเศส จะได้ค้นพบว่า จุดสำคัญของเหล็กกล้าโครเมียมต้องควบคุมปริมาณคาร์บอนให้ต่ำมากมากที่ประมาณ 0.15 % ก็ตาม แต่ยังไรก็ตามด้วยเทคโนโลยียุคนั้นก็ยังไม่สามารถผลิตโลหะที่มีคาร์บอนต่ำได้

ปี 1872 หลังการค้นพบของ ปิแอร์ เบอร์แทร์ (Pierre Berthier) กว่า 50 ปี มีชาวอังกฤษสองคนคือ วูดส์และคลาร์ค (Woods and Clark) ได้จดสิทธิบัตรโลหะที่ทนต่อการกัดกร่อนจากสภาพอากาศและกรดเป็นครั้งแรก โดยประกอบด้วย โครเมียม 30-35 % และทังสเตน 1.5-2.0 %
โลหะทนต่อการกัดกร่อนมีการพัฒนาอย่างมากในยุคหลังศตวรรษที่ 19 เมื่อ ฮันส์ โกลชมิดท์ (Hans Goldschmidt) ชาวเยอรมัน ได้พัฒนากระบวนการผลิตที่สามารถผลิตโลหะที่มีคาร์บอนต่ำได้ ในปี 1895 และหลังจากนั้นเพียง 10 ปี ก็มีนักวิทยาศาสตร์ขาวฝรั่งเศส ลีอ็อน กิวล์เลด (Leon Guillet) ได้ตีพิมพ์ผลงานวิจัยโลหะผสม ซึ่งปัจจุบันเป็นที่รู้จักกันว่า คือสเตนเลสกลุ่มเฟอร์ริติกบางชนิด และออสเทนนิติกกลุ่ม 300

การผลิตโลหะทนต่อการกัดกร่อนในเชิงอุตสาหกรรมเริ่มต้นจริงๆ ในปี 1908 เมื่อบริษัท ครุปป์ไอออนเวิร์ค (Krupp Iron Works) ของเยอรมันได้นำเหล็กกล้าผสมโครเมียม-นิกเกิลมาผลิตเป็นตัวเรือเดินสมุทร นอกจากนั้น บรัษัทยังได้พัฒนาเหล็กกล้าออสเทนนิติกด้วยส่วนผสม คาร์บอน < 1% นิกเกิล < 20% และ โครเมียม 15-40 % ระหว่างปี ค.ศ. 1912-1914

ในระหว่างปี 1904-1908 มีการศึกษาและเสนอผลงานวิจัยคิดค้นมากมาย ทั้งในประเทศอังกฤษ ฝรั่งเศส และเยอรมัน โดยผลงานที่โดดเด่นได้แก่การตีพิมพ์ผลงานรายละเอียดของเหล็กกล้าผสมโครเมียม – นิกเกิลของ จิเซน (Giesen) ชาวอังกฤษ ผลงานการพัฒนาเหล็กกล้าผสมโครเมียมของ พอร์ทีวิน (Portevin) ชาวฝรั่งเศส และที่สำคัญที่สุดก็คือ ผลงานของชาวเยอรมันสองท่าน พี มอนนาร์ท และ ดับบิว บอร์เชอร์ส (P. Monnartz and W. Borchers) ที่ได้ค้นพบว่า เหล็กกล้าที่ทนต่อการกัดกร่อนต้องมีโครเมียมผสมอย่างน้อย 1.5 %

อุตสาหกรรมการผลิตเหล็กกล้าทนการกัดกร่อน เพื่อการค้าและผลิตภัณฑ์ที่มีความรุ่งเรื่องอย่างมากในยุคเริ่มต้นอยู่ระหว่าง ปี 1911-1913 เริ่มที่ปี 1911 เอลวูด เฮย์เนส (Elwood Haynes) ชาวอเมริการได้คิดค้นและผลิตมีดโกนหนวดไร้สนิมเป็นผลสำเร็จ โดยมีส่วนผสมของโครเมียม 14-16 % และ คาร์บอน 0.07-0.15 % ในขณะที่ แฮร์รีย์ เบรียรเลย์ (Harry Brearley) ชาวอังกฤษได้คิดค้นและผลิตลำกล้องปืนที่ทนต่อการกัดกร่อนเป็นผลสำเร็จด้วยส่วนผสมโครเมียม 6-15% คาร์บอน ประมาณ 0.2 % นอกจากนี้ แฮร์รีย์ เบรียรเลย์ ยังได้นำโลหะที่ค้นพบนี้ไปผลิตเป็น มีด กรรไกร และเครื่องครัวอีกด้วย ด้วยเหตุนี้เขาได้ตั้งชื่อเหล็กกล้าที่ทนต่อากรกัดกร่อนนี้ว่า “Rustless steel” ก่อนที่จะมาเปลี่ยนชื่อเป็น คำว่า “stainless steel” ด้วยคำแนะนำของเออร์เนส์ท สะทูอาร์ท (Ernest Stuart) เจ้าของโรงงานผลิตพวกเครื่องใช้คัดเตอร์รีที่คิดว่า มีความไพเราะกว่าในปี 1912 ต่อมาในปี 1913 ในงานแสดงนิทรรศการที่กรุงเวียนนา แม็ค เมียวแมนน์ (Max Mauermann) ชาวโปแลนได้นำเสนอผลงานว่า เขาได้ผลิตสเตนเลสสำเร็จเป็นครั้งแรกในปี 1912

คนโดยทั่วไปจะไม่ทราบว่า สเตนเลสมีกี่ประเภท และมักจะมีการเข้าใจผิดว่า สเตนเลสแท้ต้องแม่เหล็กดูดไม่ติด แต่จริงๆ แล้วการที่แม่เหล็กจะดูดติดหรือไม่ติดนั้นขึ้นอยู่กับประเภทของสเตนเลส สเตนเลสแบ่งออกเป็นกลุ่มพื้นฐาน ได้ 5 กลุ่มคือ ออสเทนนิติค, เฟอริติค, ดูเพล็กซ์, มาร์เทนซิติค และ กลุ่มเพิ่มความแข็งโดยวิธีการตกผลึก
ออสเตนิติก (Austenitic)
แม่เหล็ดดูดไม่ติด นอกจากส่วนผสมของโครเมียม 18%แล้ว ยังมีนิเกิลที่ช่วยเพิ่มความต้านทานการกัดกร่อนอีกด้วย ชนิดออสเตนิติกเป็นที่นิยมใช้อย่างกว้างขวางมากที่สุด ในบรรดาสเตนเลสด้วยกัน ส่วนออสเตนิติกที่มีโครเมียมผสมอยู่สูง 20% ถึง 25% และนิกเกิล 1%ถึง 20% จะสามารถทนการเกิดออกซิไดซ์ได้ที่อุณหภูมิสูง ซึ่งใช้ในส่วนประกอบของเตาหลอม ท่อนำความร้อน และแผ่นกันความาร้อนในเครื่องยนต์ จะเรียกว่า เหล็กกล้าไร้สนิม ชนิดทนความร้อน (Heat Resisting Steel)

การกัดกร่อนสม่ำเสมอ
การกัดกร่อนแบบสม่ำเสมอเกิดขึ้นในสภาพแวดล้อมที่ก้าวร้าวมาก ซึ่งโดยทั่วไปแล้วจะมีการผลิตสารเคมีหรือใช้งานหนักเช่นในอุตสาหกรรมเยื่อกระดาษและกระดาษ พื้นผิวทั้งหมดของเหล็กถูกโจมตีและการกัดกร่อนจะแสดงเป็นอัตราการกัดกร่อนเป็นมม. / ปี (โดยปกติจะน้อยกว่า 0.1 มม. / ปีสำหรับกรณีเช่นนี้) ตารางการกัดกร่อนเป็นแนวทาง [56]

โดยทั่วไปจะเป็นกรณีนี้เมื่อเหล็กกล้าไร้สนิมสัมผัสกับสารละลายที่เป็นกรดหรือพื้นฐาน การกัดกร่อนของเหล็กกล้าไร้สนิมนั้นขึ้นอยู่กับชนิดและความเข้มข้นของกรดหรือเบสและอุณหภูมิของสาร

สั่งซื้อสินค้า / ติดต่อสอบถาม

เขียนอีเมลถึงเจ้าของร้าน

ส่งเมลถึง:จำหน่าย,ขาย,สแตนเลส 316,316L,304,304L,310,310S,410,420J2,416,431,440C,630,17-4PH
อีเมลผู้ส่ง:
เนื้อความ:
มีไฟล์แนบ
ทำสำเนา