กรมธรรม์ประกันชีวิตฉบับแรกควรเลือกแบบไหนดี ??
วันนี้จากข้อมูลทางสถิติ คนไทย 100 คนจะมีกรมธรรม์ประกันชีวิต 27 คน ดังนั้น 73% ของคนไทยยังไม่มีกรมธรรม์ประกันชีวิตหรือมากกว่านั้นเพราะบางคนที่รู้จักประโยชน์ของประกันชีวิตหรือมีตัวแทนมาขอร้องให้ซื้อจะถือกรมธรรม์ุถึง 2-3 กรมธรรม์ต่อคนก็มี
ผมขอยกตัวอย่างประเทศญี่ปุ่นนะครับ ประเทศญี่ปุ่น 1 คน จะมีประกันชีวิต 3 กรมธรรม์ต่อคนหรือ 300% เลยทีเดียว
ว่ากันว่าคนญี่ปุ่นเสียชีวิต 1 คน จะมีเศรษฐีเกิดขึ้นพร้อมกันถึง 3 คน
หรือขอยกตัวอย่างประเทศเพื่อนบ้านของเรา คือ ประเทศสิงคโปร์ ประชาชนทุกคนมีประกันชีวิต 100%
ดังนั้นสังเกตว่าทั้งสองประเทศข้างต้นเป็นอันดับต้นๆ ที่มีการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจและคุณภาพชีวิตประชากรที่ดี
เกริ่นนำมาซะยาว ดังนั้นผมวันนี้ผมจะขอแนะนำหลักในการเลือกทำกรรมธรรม์ประกันชีวิตที่เหมาะสมควรเป็นแบบไหน ดังนี้ครับ
- วิเคราะห์รายรับ-รายจ่าย และความสามารถในการชำระเบี้ยประกัน ตามความเหมาะสมเบี้ยประกันที่ชำระไม่ควรเกิน 15% ของรายรับต่อเดือนหรือต่อปี
- เลือกแบบประกันที่เหมาะสมกับที่ตนเองต้องการ ซึ่งแบ่งได้ตามกลุ่มต่อไปนี้
กลุ่มที่ 1 กลุ่มเด็กแรกเกิด - เด็กเล็ก
เด็ก ๆ เจ็บป่วยบ่อยนะครับ ดังนั้นควรเลือกแบบประกันชีวิตที่เน้นคุ้มครองการรักษาสุขภาพ(IPD) และคุ้มครองผู้ป่วยนอกหรือ(OPD) แถมพ่วงคุ้มครองอุบัติเหตุด้วยนะครับ เบี้ยประกันที่จ่ายอาจจะแพงซักหน่อย แต่ถ้าป่วยหนักสักครั้งจะสามารถแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายของพ่อแม่ ได้เยอะทีเดียวครับ ยกตัวอย่างเช่น เมืองไทยคุ้มครองตลอดชีพ 99/20 + สุขภาพแยกค่าใช้จ่าย + คุ้มครองผู้ป่วยนอก + EASY PA เป็นต้น
กลุ่มที่ 2 วัยเริ่มทำงาน
กลุ่มวัยเริ่มทำงาน เป็นวัยเริ่มสร้างเนื้อสร้างตัวนะครับ ดังนั้นควรเลือกแบบประกันที่คุ้มครองชีวิต + ออมเงินไปพร้อมกัน สำหรับคุ้มครองชีวิตไว้สำหรับตอบแทนพ่อแม่หากเกิดเหตุไม่คาดฝัน และออมเงินไว้สำหรับเป็นเงินเก็บในอนาคตแถมยังนำไปลดหย่อนภาษีได้อีกด้วย ยกตัวอย่างเช่น เมืองไทยสมาร์ทแพลนนิ่งพลัส , เมืองไทยทวีทรัพย์ 15/7
กลุ่มที่ 3 หัวหน้าครอบครัว
สำหรับหัวหน้าครอบครัว สิ่งจำเป็นคือหลักประกันและความคุ้มครองให้กับภรรยาและลูก ๆ ดังนั้นควรเลือกแบบประกันชีวิตที่คุ้มครอง + ออมเงิน + อุบัติเหตุเพื่อสร้างความอุ่นใจและครอบครัว และออมเงินเพื่อเป็นทุนการศึกษาให้ลูกในอนาคต
ยกตัวอย่างเช่น เมืองไทยทวีทรัพย์ 15/7, เมืองไทยคุ้มครองตลอดชีพ, เมืองไทยเพื่อการศึกษา, EASY PA, ภายในระยะเวลา
กลุ่มที่ 4 กลุ่มคนโสด
สำหรับคนโสด อาจจะต้องการท่องเที่ยวและตอบแทนบุญคุณกับคนที่คุณรัก เช่นคุณพ่อ-คุณแม่ นอกจากนี้จำเป็นที่ต้องจัดเตรียมทุนทรัพย์ไว้ใช้จ่ายในยามเกษียณหรือเมื่ออายุมากขึ้นความทั้งความคุ้มครองสุขภาพและโรคร้ายแรง เพราะเมื่อถึงเวลาต้องเจ็บไข้ได้ป่วยต้องดูแลตัวเอง ประกันสุขภาพก็สามารถช่วยแบ่งเบาภาระด้านค่าใช้จ่ายของท่านได้มากเช่นกัน
ยกตัวอย่างแบบประกันเช่น เมืองไทย Double care , สะสมทรัพย์รับบำนาญ , เมืองไทยบำนาญ 8555 จี 20 ,
เมืองไทยแอปปี้ 10/5 เป็นต้น
กลุ่มที่ 5 กลุ่มวัยเกษียณ
สำหรับคนวัยเกษียณส่วนใหญหากทำงานราชการก็จะได้ บำเหน็จบำนาญไว้ใช้ในยามเกษียณ แต่สำหรับผู้ที่ทำงานเอกชนไม่มีบำเน็จบำนาญเหมือนข้าราชการ ดังนั้นต้องเก็บเงินไว้ใช้ในยามเกษียณรวมทั้งรักษาตัวเมื่อยามแก่ชรา ดังนั้นแบบประกันแบบบำนาญที่จ่ายเงินคืนเมื่ออายุ 55 ปี เป็นทางเลือกหนึ่งที่จะทำให้สามารถใช้ชีวิตในช่วงวัยเกษียณได้อย่างสบาย ไม่ต้องรบกวนลูกหลาน
เพราะกว่า 80% ของวัยเกษียณยังคงต้องทำงานและพึ่งพาลูกหลานอยู่ ดังนั้นการวางแผนวัยเกษียณจึงจำเป็นอย่างยิ่ง
ยกตัวอย่างแบบประกัน เช่น สะสมทรัพย์รับบำนาญ, สมาร์ทรีไทร์เม้นท์พลัส ,เมืองไทยบำนาญ 8555 จี 20, บำนาญ 8560, บำนาญ 8501-9901 เป็นต้น
กลุ่มที่ 6 กลุ่มผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไป
สำหรับกลุ่มผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไปเป็นช่วงวัยเกษียณที่ต้องใช้ชีวิตอย่างสบายในช่วงบั้นปลายชีวิต แต่ส่วนใหญ่ยังคงต้องการความคุ้มครองเพื่อจะได้ไม่เป็นภาระของลูกหลาน ยกตัวอย่างแบบประกัน เมืองไทยวัยเก๋า , เมืองไทยคุ้มครองอุ่นใจ เป็นต้น
กลุ่มที่ 7 กลุ่มผู้เสียภาษีมาก
กลุ่มสุดท้ายเป็นกลุ่มผู้ที่เสียภาษีมาก เช่น แพทย์ นักบิน ผู้บริหารระดับสูง เจ้าของกิจการ หรือนักธุรกิจ ดังนั้นกลุ่มสุดท้ายจึงควรเลือกแบบประกันบำนาญ(ลดหย่อนภาษีได้) เพื่อนำเงินภาษีที่จ่ายไปทุกปีกลับมาเป็นเงินคืนภาษี ตามนโยบายของรัฐบาล โดยสามารถนำไปลดหย่อนได้เพิ่มอีก 200,000 บาทรวม 100,000 บาทแรกเป็น 300,000 บาท โดยคำนวนณรวมกับ LTF และ RMF แต่ไม่เกิน 500,000 บาท ยกตัวอย่างแบบประกัน เมืองไทยบำนาญ 8555,9955 , เมืองไทยบำนาญ 8560,9960 , เมืองไทยบำนาญ 8501,9901 เป็นต้น
จากตัวอย่างข้างต้นคิดคงเป็นประโยชน์และแนวทางการเลือกแบบประกันแก่ผู้ที่สนใจจะมีกรมธรรม์ประกันชีวิตเล่มแรก หรือเล่มที่ 2 สำหรับบางท่าน ไม่มากก็น้อยนะครับ