ท่านพ่อพล ธรรมราช สื่อกลางจองบูชาวัตถุมงคล พ่ออาจารย์พล ธรรมราช
เจ้าของร้าน Login ที่นี่
หน้าร้าน
รายการสินค้า
ติดต่อร้านค้า ส่งข้อความหลังไมค์ วิธีการสั่งซื้อสินค้า วิธีการชำระเงิน เว็บบอร์ด
สมาชิกร้านค้า
หมวดสินค้า
สถิติร้านค้า
เปิดร้าน19/08/2014
อัพเดท10/10/2016
เป็นสมาชิกเมื่อ 12/06/2012
สถิติเข้าชม350827
บริการของร้านค้า
ตรวจสอบสถานะไปรษณีย์
จดหมายข่าว
ใส่ email ของท่านเพื่อรับข่าวสารร้านค้านี้

subscribe unsubscribe




ข้อมูลร้านค้า
   
ที่อยู่  กทม 00000
โทร.  0948866245
Mail  korntipchai@gmail.com
Search      Go

Home / All Product List / เปิดจอง เสด็จปู่อาฬาวกยักษ์ (ตำนานทุสสาวุธ)

เปิดจอง เสด็จปู่อาฬาวกยักษ์ (ตำนานทุสสาวุธ)

เปิดจอง เสด็จปู่อาฬาวกยักษ์ (ตำนานทุสสาวุธ)

เปิดจอง เสด็จปู่อาฬาวกยักษ์ (ตำนานทุสสาวุธ)

ลงประกาศเมื่อวันที่  :  09/09/2014
แก้ไขล่าสุด  :  25/09/2014
ราคา  10,000

ก่อนจะกล่าวถึงมงคลวัตถุ มารับทราบตำนานของอาฬาวกยักษ์กันอีกครั้งหนึ่ง
บริบทในตำนาน
ยักษ์นั้น เป็นเทวดาจำพวกหนึ่งอยู่ในสวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิก อยู่ในปกครองของท้าวเวสสุวรรณ ในสมัยที่เป็นมนุษย์นั้น บุคคลพวกนี้มักเป็นคนเจ้าโทสะ โกรธง่าย โมโหง่าย แต่ได้ทำบุญอยู่บ่อยๆ เมื่อละจากโลกนี้ไปแล้วจึงได้ไปเกิดเป็นยักษ์

ในครั้งพุทธกาล มียักษ์ตนหนึ่ง ชื่อ อาฬาวกยักษ์ มีวิมานอยู่ที่ต้นไทรใกล้เมืองอาฬวี ยักษ์นี้มีฤทธิ์มาก เหาะเหินเดินอากาศได้ และมีนิสัยดุร้าย ชอบจับคนและสัตว์กินเป็นอาหาร โดยอาฬาวกยักษ์ได้รับพรจากท้าวเวสสุวรรณให้สามารถจับมนุษย์และสัตว์ที่เข้าไปสู่ร่มไทรของตนกินเป็นอาหารได้

เมื่อครั้งนั้นในนครอาฬวี มีพระราชาองค์หนึ่งทรงนามว่า พระเจ้าอาฬวกะ

พระเจ้าอาฬวกะเป็นพระราชาที่โปรดการล่าเนื้อมาก พระองค์เสด็จออกล่าเนื้อเป็นประจำ ระหว่างการล่าเนื้อพระองค์ได้ตั้งกติกาว่า ถ้าเนื้อหนีออกไปทางผู้ใด ผู้นั้นจะต้องรับผิดชอบติดตามเนื้อนั้นกลับมาให้ได้

วันหนึ่ง ระหว่างการออกล่าเนื้อ เนื้อตัวหนึ่งได้หลบหนีไปทางที่พระเจ้าอาฬวกะประทับอยู่ ดังนั้น พระองค์จึงทรงธนูเสด็จติดตามเนื้อนั้นไปเป็นระยะทางถึง ๓ โยชน์ ในที่สุด พระองค์ก็สามารถฆ่าเนื้อนั้นได้

พระเจ้าอาฬวกะทรงตัดเนื้อออกเป็น ๒ ท่อน แล้วหาบกลับมา ระหว่างที่เสด็จกลับมานั้นเป็นเวลาเที่ยงด้วยความเหน็ดเหนื่อย เมื่อพระองค์เห็นต้นไทรใบหนาร่มเย็นจึงได้เสด็จเข้าไปประทับพักเหนื่อย โดยไม่รู้ว่า เคราะห์กรรมได้มาถึงพระองค์เเล้ว เพราะนั่นเป็นที่อยู่ของอาฬาวกยักษ์ เนื่องจากอาณาเขตบริเวณของต้นไม้นั้น อาฬาวกยักษ์ได้รับพรจากท้าวเวสสุวรรณว่า ถ้าผู้ใดมาพักอยู่ใต้ต้นไม้นี้ อาฬาวกยักษ์มีสิทธิ์จับกินได้ อาฬาวกยักษ์ก็เเสดงตนออกมาแล้วกล่าวกับพระราชาว่า เราจะกินท่านเป็นอาหาร ซึ่งเป็นสิทธิ์ของเราโดยชอบธรรม พระองค์จึงถูกอาฬาวกยักษ์จับตัวไว้กินเป็นอาหาร แต่พระเจ้าอาฬวกะทรงขอชีวิตและสัญญาว่า จะส่งคนและสำรับอาหารมาให้เป็นประจำ วันใดพระองค์ไม่ส่งคนมาให้ ก็ขอให้อาฬวกยักษ์ไปจับพระองค์กินได้ อาฬาวกยักษ์จึงปล่อยพระองค์ไป

เมื่อพระเจ้าอาฬวกะเสด็จกลับพระนครแล้ว พระองค์ก็ทรงปฏิบัติตามสัญญาโดยจัดส่งนักโทษไปให้อาฬวกยักษ์กินเป็นอาหารทุกวัน

อาฬาวกยักษ์นี้มีกำลังมาก เคี้ยวกินนักโทษเหมือนกินเผือกกินมัน คนที่ไปส่งนักโทษเห็นเข้าก็หวาดกลัว นำมาบอกเล่าสู่กันฟังจนชาวเมืองอาฬวีไม่มีผู้ใดกล้าทำความผิด ในไม่ช้าจึงไม่มีนักโทษส่งไปให้ยักษ์อีก แม้พระเจ้าอาฬวะกะจะแกล้งเอาทรัพย์ไปทิ้งล่อไว้กลางทาง ก็ยังไม่มีใครกล้าหยิบฉวยเอาทรัพย์นั้นเป็นของตน เพราะกลัวจะถูกจับเอาไปเป็นอาหารยักษ์

เสนาอำมาตย์จึงแนะนำให้นำเด็กบ้านละ ๑ คน ส่งไปเป็นอาหารยักษ์ ทำให้บ้านที่มีบุตรหรือบ้านที่มารดากำลังมีครรภ์อยู่ พากันอพยพหนีไปอยู่เมืองอื่น เมืองอาฬวีต้องจัดส่งคนไปเป็นอาหารแก่อาฬาวกยักษ์อยู่ถึง ๑๒ ปี ในที่สุดก็ไม่มีเด็กจะให้ยักษ์กิน คงเหลือเด็กเพียงคนเดียว ก็คือ อาฬวกกุมาร พระโอรสของพระเจ้าอาฬวกนั่นเอง ซึ่งพระเจ้าอาฬวกก็ตัดสินใจส่งราชโอรสของตนให้ไปเป็นอาหารของยักษ์เพื่อทรงปฏิบัติตามสัญญา

ในความเดิมย้อนอดีตกาลไป แต่ปางก่อนนั้น ได้มีพระพุทธเจ้าผ่านมายังที่อยู่ของอาฬาวกยักษ์แล้วถึง 3 พระองค์ในภัทรกัปป์นี้ พระพุทธเจ้าพระองค์แรกเสด็จมาแล้วประทับยืนอยู่ตรงราวป่าแล้วตรัสพยากรณ์ว่า "ที่นี่เป็นที่อยู่อาศัยของอาฬาวกยักษ์ผู้มีฤทธิ์มาก การจะทำให้ยักษ์ตนนี้ตั้งมั่นในไตรสรณคมณ์ยังหามีไม่ในกาลนี้ และนับจากนี้ไปในภัทรกัปป์นี้จะมีพระพุทธเจ้าอีกสองพระองค์มาตรัสพยากรณ์เช่นเดียวกับเรา แล้วจึงจะมีพระพุทธเจ้าพระองค์ถัดไปนามว่า พระพุทธโคดมมาโปรด และทำให้ยักษ์นี้ตั้งมั่นอยู่ในไตรสรณคมได้"

นับจากเวลานั้น สมเด็จพระพุทธเเจ้าได้อุบัติขึ้นอีกในโลก แม้พระองค์ที่2 และ3 ก็ได้เสด็จมากระทำพุทธกิจเช่นเดียวกันนี้

อาฬาวกยักษ์เห็นดังนั้นจึงสำคัญตัวว่า แม้พระพุทธเจ้าผู้ได้ชื่อว่า ประเสริฐสุดในสากลพิภพจักรวาลทั้งหลาย ยังไม่สามารถเข้ามายังที่อยู่ของเราได้ ด้วย เพราะเกรงกลัวฤทธิ์อำนาจของเรา พระพุทธเจ้าล่วงไป3พระองค์เเล้ว ก็ยังหามีพระองค์ใดกล้าเข้ามาหาเราถึงข้างในได้

เช้าตรู่วันนั้น พระพุทธเจ้าทรงตรวจดูสรรพสัตว์ด้วยสัพพัญญุตญาน ซึ่งเปี่ยมไปด้วยพระเมตตาอันหาประมาณมิได้ของพระองค์ ได้ทรงเห็นว่า อาฬาวกยักษ์นี้มีอุปนิสัยพอจะบรรลุโสดาปัตติผลได้ ครั้นทรงกระทำภัตตกิจเช้าเสร็จแล้ว จึงเสด็จจากเมืองสาวัตถีไปยังที่อยู่ของอาฬาวกยักษ์ เป็นระยะทาง ๓๐ โยชน์

เนื่องจากในวันนั้นเป็นวันที่อาฬาวกยักษ์ต้องเสด็จขึ้นไปประชุมยังสภา เนื่องจากตนเองก็เป็นเทพเจ้าของจาตุมหาราชิกาพระองค์หนึ่ง อาฬาวกยักษ์จึงต้องออกเดินทางไปจากวิมานของตน

พระพุทธองค์เมื่อเสด็จมาถึงวิมานอันใหญ่โตมโหฬาร ซึ่งตั้งอยู่ติดพื้นดินในเวลาค่ำ ยักษ์รักษาประตูชื่อ คัทรภะ เห็นจึงเข้าไปถวายบังคมแล้วกราบทูลถาม พระพุทธองค์ทรงตรัสตอบว่า พระองค์มีพระประสงค์จะพักแรมในที่นี้สักคืนหนึ่ง คัทรภยักษ์ จึงกราบทูลว่า เจ้าของวิมานนี้คือ อาฬวกยักษ์ เป็นยักษ์ที่โหดร้ายหยาบคายมาก ไม่ยอมไหว้ใครๆ แม้ แต่บิดามารดาของตน ไม่รู้จักสมณะชีพราหมณ์ และไม่เคารพพระรัตนตรัย พระพุทธองค์อาจจะมีอันตรายได้ แต่พระพุทธเจ้าก็ทรงออกพระโอษฐ์ขอพักอาศัยถึง ๓ ครั้ง ในที่สุดคัทรภยักษ์ก็อนุญาตให้พระพุทธองค์เข้าพักได้ แต่ขอให้ตนไปแจ้งให้อาฬวกยักษ์ทราบเสียก่อน แล้วคัทรภยักษ์ก็ออกจากวิมานมุ่งตรงไปป่าหิมพานต์ เพื่อแจ้งให้อาฬวกยักษ์ ซึ่งกำลังประชุมอยู่ที่สภาได้ทราบ

ขณะนั้น ประตูวิมานของอาฬวกยักษ์ก็เปิดออกเอง พระพุทธเจ้าจึงเสด็จเข้าไปประทับนั่งบนบัลลังค์ของอาฬาวกยักษ์ เปล่งพระรัศมีเป็นสีทองอยู่บนบัลลังก์ทิพย์ของอาฬาวกยักษ์นั้น พวกนางสนมของอาฬาวกยักษ์เห็นพระพุทธเจ้าเสด็จเข้าไปก็มีความยินดี พากันมาถวายบังคมแล้วมานั่งฟังธรรม

ทางด้านคัทรภยักษ์ เมื่อไปถึงป่าหิมพานต์ก็นำความไปแจ้งอาฬาวกยักษ์ให้ทราบ อาฬาวกยักษ์ก็นิ่งไว้ไม่ได้แสดงอาการ เพราะอาย กลัวว่ายักษ์อื่นจะรู้ว่า มีพระสมณะเข้าไปในที่อยู่ของตน

ขณะที่พระพุทธองค์ทรงแสดงธรรมโปรดนางสนมยักษ์อยู่นั้น มียักษ์อีก ๒ ตน คือ สาตาคิรยักษ์ และเหมวตยักษ์ พร้อมด้วยบริวาร(เป็นยักษ์ที่มีฤทธิ์มากระดับเทวดาเช่นกัน) พากันเหาะไปประชุมที่ป่าหิมพานต์ แต่เมื่อมาถึงวิมานของอาฬาวกยักษ์ก็ไม่สามารถจะเหาะผ่านไปได้ พอทราบว่า พระพุทธองค์ประทับอยู่จึงพากันแวะลงไปเฝ้าฟังธรรมก่อนจะเดินทางต่อ เมื่อไปถึงสมาคมยักษ์แล้ว สาตาคิรยักษ์และเหมวตยักษ์ จึงแจ้งให้อาฬาวกยักษ์ทราบว่า พระพุทธองค์ประทับอยู่ที่วิมานของเขา และแนะนำให้เขาไปเฝ้าพระพุทธองค์

เมื่อได้ทราบเช่นนั้นแล้ว อาฬาวกยักษ์ก็โกรธเป็นฟืนเป็นไฟ แม้สาตาคิรยักษ์และเหมวตยักษ์ จะอธิบายว่า พระบรมศาสดาคือพระโพธิสัตว์ที่จุติจากดุสิตสวรรค์มาตรัสรู้เพื่อสั่งสอนสรรพสัตว์ อันเทวดาทั้งหลายรู้ดี แต่อาฬาวกยักษ์ก็ไม่ยอมเชื่อฟังด้วยสำคัญตัวว่า เป็นยักษ์ที่มีฤทธิ์มากที่สุด แม้พระพุทธเจ้า 3 พระองค์ล่วงไปแล้วก็ยังไม่กล้าเข้ามาในที่ของเราได้ จึงลุกขึ้นเอาเท้าซ้ายเหยียบพื้นศิลา เท้าขวาเหยียบยอดเขาไกรลาส ส่งเสียงร้องประกาศก้องว่า เราคืออาฬาวกะ หมายให้พระพุทธเจ้าเสด็จออกไปจากบัลลังค์ของตน เสียงดังก้องไปทั่วชมพูทวีป

อิทธิฤทธิ์ของอาฬวกยักษ์นั้นมีมากมาย แม้เสียงร้องประกาศด้วยอารมณ์โกรธก็ดังก้องไปทั่วชมพูทวีป นับเป็นเสียงหนึ่งในบรรดาเสียงดังพิเศษ ๔ อย่างที่ได้ยินกันทั่วชมพูทวีป คือ
๑. เสียงปุณณกยักษ์ส่งเสียงไชโย ในคราวชนะพนันพระเจ้าธนัญชัยโกรพยะ
๒. เสียงท้าวสักกะร้องประกาศขู่จะกินพุทธบริษัทผู้ใจบาป ไม่ถือศีลถือธรรมครั้งปลายพุทธกาลของพระกัสสปพุทธเจ้า
๓. เสียงพระเจ้ากุสราชร้องประกาศพระนามของพระองค์ ในคราวที่พระองค์ทรงพาพระนางปภาวดีเสด็จขึ้นช้างออกจากพระนคร เมื่อนครกุสาวดีถูกกษัตริย์ทั้ง ๗ ปิดล้อม
๔. เสียงอาฬวกยักษ์ในครั้งนี้

ด้วยเสียงดังกึกก้องของอาฬาวกยักษ์ เหล่าเทพพรหมทั่วหมื่นโลกธาตุในเเสนโกฏิจักรวาลก็มาประชุมกันเนืองเเน่นจนมืดฟ้ามัวดินโดยมิได้นัดหมายอีกวาระหนึ่ง เเต่พระพุทธเจ้าทรงตั้งขันติปรมัตถะบารมีเเละนิ่งเฉยเสีย

ในกาลนั้นอาฬาวกยักษ์ได้เหยียบภูเขาไกลลาสให้พังบางส่วน ปรากฏเป็นก้อนหินใหญ่กลิ้งเข้าไปหาพระพุทธเจ้า เเต่เมื่อหินเข้าใกล้ก็แปรสภาพเป็นดอกไม้หอมเเทน อาฬาวกยักษ์จึงนิรมิตรฝนลูกไฟไปยังพระพุทธเจ้า ลูกไฟก็เเปรสภาพเป็นดอกไม้หอมเช่นเคย แล้วอาฬาวกยักษ์ก็บันดาลลมพายุใหญ่ ให้พัดตรงเข้าทำลายพระพุทธเจ้า แต่พระพุทธเจ้าทรงอธิษฐานปิดภัยพิบัตินั้นเสีย

อาฬาวกยักษ์บันดาลห่าฝนใหญ่ให้ตกลงมา จะใช้น้ำท่วมพระพุทธเจ้าให้ตาย แต่แม้ว่า ฝนจะตกรุนแรงจนแผ่นดินแตกเป็นช่องๆ แต่ฝนนั้นก็ไม่อาจเปียกจีวรของพระผู้มีพระภาคเจ้าได้

อาฬาวกยักษ์บันดาลฝนแผ่นหินให้ตกลงมายอดเขาใหญ่ๆ พ่นควันลุกโพลงลงมาทางอากาศ แต่พอถึงพระพุทธเจ้า ฝนหินก็กลับกลายเป็นดอกไม้ทิพย์ไปทันที

อาฬาวกยักษ์ทำฝนเครื่องประหาร ฝนถ่านเพลิง ฝนเถ้ารึง ฝนทราย ให้ตกลงมา แต่ฝนเหล่านั้นก็กลายเป็นของหอมอันเป็นทิพย์มาบูชาพระพุทธองค์ไปจนหมดสิ้น

อาฬาวกยักษ์นั้น เมื่อไม่อาจทำอันตรายพระพุทธเจ้าได้ด้วยการบันดาลฝนต่างๆ จึงพาพลยักษ์และภูตผีปีศาจเข้าไปเอาชีวิตพระพุทธเจ้า แต่ภูตเหล่านั้นก็ไม่อาจเข้าใกล้พระพุทธเจ้าได้ ดุจดังแมลงวันไม่อาจตอมก้อนเหล็กที่ลุกโพลงได้ฉันนั้น

การรบของอาฬาวกยักษ์นี้หนักหน่วงเสียยิ่งกว่าเมื่อครั้งจอมฟ้าพญามารปรนิมมิตวสวัตตีเสด็จยกทัพมาเสียอีก อาฬาวกยักษ์ได้ใช้ฤทธิ์ทั้งหมดที่มีหมายจะฆ่าพระพุทธเจ้าทำเช่นนี้ไปครึ่งคืนก็ไม่สามารถทำอะไรได้

ผ่านไปครึ่งคืน อาฬาวกยักษ์คิดว่า จำเป็นต้องใช้อาวุธที่ร้ายแรงที่สุดของตน ก็คือ ทุสสาวุธ ซึ่งมีอานุภาพร้ายแรงดุจวชิราวุธของพระอินทร์ คฑาวุธของท้าวเวสสุวรรณ และนัยนาวุธของพระยายมราช ซึ่งอาวุธทั้ง 4 นี้ จัดเป็นอาวุธที่ประเสริฐที่สุดในโลก

  • ก็ผิว่า ท้าวสักกะเทวราชทรงพิโรธเเล้ว พึงประหารวชิราวุธบนยอดเขาพระสิเนรุราชอันเป็นฐานของสวรรค์ชั้นดาวดึงษ์ไซร้ วชิราวุธจะชำแรกจอมเขาพระสิเนรุราชอันสูงได้หนึ่งเเสนหกหมื่นแปดพันโยชน์ลงไปถึงข้างล่างทำลายให้เป็นจุลในพริบตา
  • เมื่อท้าวเวสสุวรรณทรงพิโรธและปล่อยคฑาวุธเเล้ว คฑาที่ท้าวเวสสุวรรณปล่อยก็จะทำลายศรีษะมหายักษ์หลายพันให้เเตกทำลายในพริบตา ก่อนจะกลับสู่พระหัตถ์ของท้าวเวสสุวรรณ
  • ครั้งเมื่อพญายมราชทรงพิโรธ สักเพียงว่า มองดูด้วยนยนาวุธ กุมภัณฑ์หลายพันก็จะลุกโพลงขึ้นเป็นไฟพินาศไปในพริบตา
  • เมื่ออาฬาวกยักษ์พิโรธ ปล่อยทุสสาวุธไปในอากาศไซร้ ทุสสาวุธนี้มีลักษณะเป็นผืนผ้า หากโยนขึ้นไปในอากาศ ก็จะทำให้ฝนแล้งถึง ๑๒ ปี ถ้าทิ้งลงพื้นดิน ต้นไม้ต่างๆ ก็จะไหม้ทำลายไม่หยุดถึง ๑๒ ปี ถ้าทิ้งลงมหาสมุทร น้ำในนั้นก็จะแห้งขอดระเหยเป็นไอในพริบตา ถ้าทิ้งบนภูเขา แม้เขาสิเนรุมาศของพระอินทร์ก็จะระเบิดกระจัดกระจายเป็นผุยผง

เมื่ออาฬาวกยักษ์จะใช้ทุสสาวุธ บรรดาเทวดาเเละพรหมทั้งหลายทั่วหมื่นโลกธาตุในเเสนโกฏิจักรวาลต่างก็มาชุมนุมกันเต็มไปหมด เพื่อรอดูพระบารมีของพระพุทธองค์ในการปราบอาฬาวกยักษ์

อาฬาวกยักษ์เหาะวนรอบพระพุทธเจ้า แล้วปล่อยทุสสาวุธไปในอากาศ ทุสสาวุธก็ส่งเสียงดังน่าสะพรึงกลัวประดุจสายฟ้าผ่า แต่สุดท้ายก็ลอยตกลงมากลายเป็นผ้าเช็ดพระบาทที่แทบเท้าพระพุทธองค์

สรุปความสั้นๆ หลังพระพุทธเจ้าปราบอาฬาวกยักษ์เเละยังให้ตั้งอยู่ในโสดาปัตติผลเช่นเดียวกับท้าวเวสสุวรรณเเล้ว ทำให้อาฬาวกยักษ์มีฤทธิ์เพิ่มสูงขึ้นไปมากกว่าเดิมหลายเท่าและในกาลนั้น อาฬาวกยักษ์ก็ได้ตั้งมหาปณิธานยิ่งใหญ่เอาไว้ต่อหน้าพระบรมศาสดาว่า "เราจักไปสู่หมู่บ้านทั้งหลาย เพื่อสรรเสริญคุณและธรรมแห่งองค์พระ ผู้บรมศาสดา"

บริบทของมงคลวัตถุ
พ่ออาจารย์พลนับถือครูยักษ์พระองค์นี้มานานเเล้ว ปรากฏผลความศักดิ์สิทธิเข้มขลังเฉียบขาดรุนแรงในทุกๆ ด้านที่ผู้ศรัทธาพึงขอ

ท่านเมตตาเล่าว่า เสด็จปู่อาฬาวกยักษนี่ท่านรับสัจจะกับพระพุทธเจ้านะ ท่านเลิกกินเนื้อต่างๆ ด้วยความเป็นพระโสดาบันของท่าน ซึ่งปัจจุบันนี้ภูมิธรรมของท่านอยู่สูงส่งนัก ใครๆ ก็คาดไม่ถึงหรอกไม่ได้หยุดอยู่เเค่พระโสดา

นอกจากนี้เเล้วท่านยังรับที่จะเดินทางออกเผยเเผ่พระพุทธศาสนา เเม้ทุกวันนี้ท่านก็ยังโปรดปรากฏองค์ให้ผู้ปฏิบัติได้สอบถามหลักธรรมกันอยู่ นอกจากนี้ท่านยังคอยคุ้มครองผู้ประพฤติดีปฏิบัติชอบด้วย

เนื่องจากเป็นเทพเจ้าฝ่ายยักษ์ จึงไม่อาจสำเร็จพระอรหัตตผลในชาตินี้ได้ เเต่ความเป็นอริยบุคคลก็ส่งเสริมให้ท่านมีฤทธิ์มากขึ้นจนประมาณมิได้เช่นกัน ซึ่งฤทธิ์ของท่านนี้เหนือกว่าท้าวเวสสุวรรณเสียด้วยซ้ำไป จะเรียกว่าท่านเป็นยักษ์ที่มีเอกสิทธิ์เเละอำนาจยิ่งใหญ่เหนือกว่าจอมฟ้า ซึ่งเป็นเจ้าสวรรค์ก็ได้ ก่อนบรรลุธรรมเเม้พระบรมศาสดาก็ยังตรัสรับรองว่า ท่านมีฤทธิ์กล้ากว่าพญามารเสียอีก

ในอดีตนั้นเสด็จปู่จะโมโหร้าย นี่คือข้อดีของท่าน ยิ่งดุมาก ยิ่งมีฤทธิ์มาก ยิ่งร้ายกาจมาก ยิ่งให้คุณได้มากสำเร็จประโยชน์ยิ่งใหญ่

ซึ่งความดุร้ายในอดีตนั้นได้เเปรเปลี่ยนมาเป็นความเมตตาเเละเกื้อกูลต่อสรรพสัตว์ทั้งหลายไปเสียสิ้นเเล้ว เสด็จปู่อาฬาวกยักษ์นี้ไม่ใช่เเค่ครอบครองทุสสาวุธ ซึ่งมีอานุภาพร้ายกาจเท่านั้นนะ แม้ตัวของท่านเองก็มีกำลังฤทธิ์ประเสริฐไม่ต่างจากพระอินทร์เลย

ขึ้นชื่อว่าวิเศษเพศยักษ์เเล้ว หากได้พกหรือบูชาย่อมห่างไกลจากโรคภัยต่างๆ พวกเธอรู้หรือเคยได้ยินกันมั๊ยล่ะว่า โรคภัยไข้เจ็บไวรัสสายพันธุ์ใหม่ๆ ต่างๆ เเท้จริงเเล้วก็เกิดจากเทพยดาจำพวกยักษ์นี่เเหละที่เเพร่ออกไปทำลายล้างมนุษย์ ที่เราทำจอมยักษ์อย่างเสด็จปู่ให้บูชาก็ เพราะเชื้อโรคทั้งหลายจะได้ไม่ย่างกรายผู้บูชาด้วยในส่วนหนึ่ง

และอีกส่วนหนึ่งก็คือภูติผีปีสาจ อันนี้เอาให้ไกลเลย ภูติผีทั้งหลายจะเป็นบริวารของยักษ์อีกที เเละยักษ์ในระดับเสด็จปู่ด้วยเเล้วอยู่ที่ไหนเขากลัวกันหัวหดเลย จากที่กร่างเก่งกล้านี่กลายเป็นนิสัยเด็กเรียบร้อยทันที ใครชอบใช้สายพรายควรมีไว้ด้วย เพราะข่มกันได้ ร่างกายตัวเองจะได้ปลอดภัยจากสิ่งที่มองไม่เห็นเหล่านี้ เเม้เเต่เทวดาเกเรมิจฉาทิฏฐิทั้งหลายเเค่ได้ยินชื่อหรือเห็นเสด็จปู่ที่เราทำนี่ก็จะไม่กล้าออกฤทธิ์ออกเดชอะไรเลยจะว่าง่ายแบบคาดไม่ถึงทีเดียว

เราทำเสด็จปู่นี่ เราถามกันก่อนนะ ท่านบอกว่าจะให้ทำในปางที่ท่านยกมือรับสัตย์กับพระพุทธเจ้าตั้งมหามโนปณิธานไว้ในกาลก่อนโน้น เราก็ทำตามท่านบอก ท่านว่า เอาไว้เตือนใจคนใช้ด้วยว่า อาฬาวกยักษ์ไม่ใช่ยักษ์ดุยักษ์เลว เเต่เป็นมหายักษ์ชั้นหนึ่งที่เปี่ยมไปด้วยความเมตตาไม่ต้องกลัวท่านเลย ที่ทำในปางรับสัตย์กับพระพุทธเจ้านี่ การรับสัตย์ยิ่งกว่าคำตายอีกนะ เราจะได้ตามปกปักรักษาคุ้มครองเเละอวยประโยชน์ให้เเก่ผู้ถือครองได้

พ่ออาจารย์บอกว่าพระรูปของท่านนี้ใครได้ไปบูชา บอกเลยว่า ดีเเน่ เพราะท่านพูดกับเราไว้ว่า ใครที่บูชาท่าน "ไม่ว่า จะทำอะไร ให้นึกถึงเราก่อนออกชื่อของเรา อยากได้อะไรก็บอกกับเรา หากเราไม่ตกไปอยู่ในอบายภูมิที่ลึกเกินกว่าจะหยั่งถึง เราสัญญาว่า เราจะมาคอยอยู่ข้างๆ เจ้า คอยอวยชัยให้พรเเก่เจ้า" ซึ่งถือว่า เป็นปกาศิตเด็ดขาดที่เสด็จปู่อาฬาวกยักษ์ตั้งใจไว้ที่จะช่วยลูกหลานทีเดียว หากคิดดูดีๆ ก็จะรู้ว่า ด้วยภูมิธรมมของท่าน เป็นไปไม่ได้เเล้วที่จะกลับสู่อบายภูมิ มีเเต่จะต้องยิ่งสูงขึ้นๆ รอพระอรหัตตผลเท่านั้น

พ่ออาจารย์นี้ ท่านลังเลในการสร้างเสด็จปู่มากทั้งๆ ที่ท่านอยากทำเเต่เเรกเริ่ม เเต่ท่านมาติดตรงที่จะทำอย่างไรได้ ในเมื่อทำเเล้วเราก็อยากทำทุสสาวุธขึ้นมาด้วยจะได้รับกัน เป็นวัตถุมงคลที่สมบูรณ์ ท่านว่า เอาแค่อาวุธทั้ง4มาเเต่ไม่มีผู้ใช้มันก็เท่านั้น ไม่ต้องถึงรวมกันทั้ง4หรอก เอาเเค่อย่างใดอย่างหนึ่งเเต่เอาผู้ใช้เดิมมาด้วยจะเปล่งอานุภาพมากกว่ารวมกันไว้ทั้ง4เสียอีก มันเเค่ความคิดเพี้ยนๆ ของคนเราเอง เเค่ทุสสาวุธของเสด็จปู่อาฬาวกยักษ์นี่ ก็เป็นระเบิดทำลายล้างโลกในพริบตาอยู่เเล้ว จะไปหาอะไรให้รุนเเรงไปไหน

เมื่อท่านวิตกนั้น ผมคิดว่า เสด็จปู่คงอยากออกมาโปรดลูกหลานจริงๆ เพราะถึงกับมาเข้านิมิตรให้พ่ออาจารย์ได้ยินเสียงท่านว่า จีวรของเสด็จพระใหญ่ที่อยู่ในกระเป๋าหล่อนจะเก็บไว้ทำไม เอาออกมาใช้สิเราจะทำให้ทรงอานุภาพเหมือนทุสสาวุธเลย

พ่ออาจารย์กล่าวว่า ของใช้ประจำตัวที่เราหวงท่านยังรู้ว่า เราเก็บเราซ่อนไว้ตรงไหน จีวรนี้มีที่มาไม่ธรรมดา พ่ออาจารย์พลพกติดตัวไว้ตลอดเป็นของรักของหวงของท่านมาก ท่านได้รับมอบมาขนาดไม่ใหญ่มากเป็นจีวรผืนเล็กๆ ท่านไม่กล่าวอะไรมาก ท่านบอกว่าเป็นจีวรของพระอาจารย์ที่สอนท่านในป่า ไม่รู้ว่า เป็นใคร เเต่หลังจากกันในป่าเเถบกาญจนบุรีเราทบทวนดูเเล้วจึงมั่นใจว่า เป็นหลวงปู่เทพโลกอุดร จีวรนี้ท่านมอบให้เราไว้ เราเอาเปลือกไม้ขอตัดท่านมาได้ส่วนเดียว ท่านย้ำว่า จีวรนี้ท่านครองไปถึง3ประเทศ ถือเป็นวัตถุที่มีธาตุครบมองเห็นสัมผัสเเละจับต้องได้

พ่ออาจารย์ก็อย่างที่บอกน้ำใจท่านไม่ธรรมดา เมื่อกล้าขอก็กล้าถวาย ท่านพลีจีวรครูเสด็จพระใหญ่ส่วนหนึ่งออกมานำมาตัดเป็นชิ้นเล็กๆ ก่อนจะนำมาพันม้วนตะกรุดที่ลงวิชาตามที่เสด็จปู่บอกกล่าวไว้เรียกว่าตะกรุดทุสสาวุธ

เมื่อพระรูปลงตัวเเละของฝังสมเจตนาความตั้งใจของท่านเเล้ว ท่านจึงนำไม้ช่อฟ้ามาเเกะ โดยผงด้านหลังนั้นท่านกวนจากผงพุทธคุณลบมือผสมว่านผสมเเร่ต่างๆ ที่ท่านเคยเสาะหามาจากในป่า เเละฝังเม็ดประคำของหลวงปู่ขาว วัดถ้ำกลองเพลไว้ด้านบน ฝังตะกรุดทุสสาวุธ และเหล็กไหลภูเขาควาย ก่อนจะโรยเเร่เหล็กไหลทองคำเเละเเปะเเผ่นโค้ด

ท่านว่า การเสกในส่วนนี้เราทำเองไม่ได้หรอก รูปใครคนนั้นก็ต้องทำ เสด็จปู่อาฬาวกยักษ์จำไว้ให้ดี อย่าเอาเนื้อสัตว์ไม่ว่า ของสุกของดิบมาถวายท่านเด็ดขาด ท่านโปรดผลไม้เเละเครื่องหอม อย่าแปลกใจว่ายักษ์ไม่กินเนื้อจะอยู่ได้อย่างไร ท่านไม่ใช่ยักษ์บ้าน ท่านเป็นยักษ์เทพมาเเต่เดิมเช่นท้าวเวสสุวรรณเเบบนั้น การกินเนื้อของท่านกิน เพราะความดุร้ายป่าเถื่อนในสมัยก่อนเพียงเท่านั้น เมื่อสิ่งนี้งดไปดับไปก็ไม่จำเป็นต้องกินก็ได้ รัศมีสีกายก็สว่างเเละผ่องใสขึ้น

รายการนี้บอกเลยว่า คุ้มเเค่ไม้ช่อฟ้า ผง เหล็กไหล ประคำครูหลวงปู่ขาวก็คุ้มสุดๆ เเล้ว พ่ออาจารย์ยังเมตตามอบจีวรหลวงปู่เทพโกอุดรออกมาตัดพันตะกรุดให้อีก ไม่ใช่มีเงินอย่างเดียว ผมกล้าพูดเลยว่า ต้องมีบุญเเละวาสนาด้วยถึงจะได้ครอบครอง ใครที่นับถือสายพระในดงไม่อยากให้พลาด เเละคงจะไม่มีอีกเเล้วที่ท่านจะเอาของศักดิ์สิทธิ์ที่พกไว้กับตัวออกมาเเบ่งทำวัตถุมงคลเช่นนี้

ท่านว่า อยากทำให้เต็มที่ เต็มความตั้งใจของเราให้เขาเอาไปใช้เเล้วดีขึ้น เป็นคำพูดเรียบง่ายรูปแบบเดิมของท่านเหมือนเคย ใครไม่มีบุญไม่มีวาสนาผูกพันธุ์กับหลวงปู่เทพโลกอุดร ไม่มีบุญที่จะให้เสด็จปู่อาฬาวกยักษ์โปรดก็ขออย่าได้มาพบเจอเเละอย่าได้เอาไป นี่เป็นสิ่งที่ท่านพูดออกมาจริงๆ เเสดงให้เห็นว่า ท่านต้องการสร้างไว้เพื่อรอเจ้าของที่เเท้จริงเท่านั้น ใครจะรับไม่รับนี่เรื่องของเขา ถือเป็นการทำบรมครูใหญ่ฝ่ายยักษ์ครั้งเเรกเเละรุ่นเเรกของท่าน

  • พ่ออาจารย์ตั้งใจเเกะมาก ท่านว่า เเกะยอกพอดูทีเดียว

เปิดจอง เสด็จปู่อาฬาวกยักษ์ (ตำนานทุสสาวุธ) ร่วมทำบุญ 10,000 บาท

 เขียนความคิดเห็น (ความคิดเห็นจะขึ้นแสดงเมื่อได้ยืนยันผ่านทาง email แล้วเท่านั้น)
เลือกหมวดแสดง :
ชื่อ :    เจ้าของร้าน
Email :    ส่ง Email เมื่อมีคนตอบความคิดเห็น
แนบไฟล์ :